วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รักคุดตายโหด นั่งให้รถไฟขยี้


เมื่อเวลา 00.10 น. วันที่ 24 ต.ค. ร.ต.ท.จีรศักดิ์ แอบแฝง ร้อยเวร สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี รับแจ้งมีคนถูกรถไฟชนเสียชีวิตคาที่เหตุเกิดบนรางรถไฟที่ตัดผ่านถนน ภายในซอยสนามกอล์ฟสยามคันทรีคลับ หมู่ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จึงพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ เมืองพัทยา ไปตรวจสอบ


ที่เกิดเหตุพบศพนายรัง พิศเพ็ง อายุ 38 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ จ.น่าน ปัจจุบันทำงานเป็นช่างประปาบริษัทอิตาเลียนไทย จำกัด ที่มารับเหมาก่อสร้างโครงการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พัทยา สภาพศพนอนหงายจมเลือด มีบาดแผลฉีกขาดบริเวณกกหูข้างซ้าย ซี่โครงหัก คอหัก ถัดไปราว 50 เมตร พบรถไฟขบวนที่ 535 บรรทุกน้ำมันดีเซล 19 โบกี้ จอดสงบนิ่ง


สอบสวนนายคำรณ ไพรพฤกษ์ อายุ 53 ปี พนักงานขับรถไฟ ให้การว่า รถไฟขบวนดังกล่าวขนน้ำมันดีเซลมาจาก อ.มาบตาพุด จ.ระยอง มุ่งหน้าไป จ.ขอนแก่น เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ เห็นผู้ตายนั่งก้มหน้าอยู่กลางรางรถไฟ พยายามบีบแตรไล่และดึงเบรก แต่ผู้ตายไม่ยอมลุกไปไหน กระทั่งถูกรถไฟพุ่งชนอย่างจัง ร่างกระเด็นลอยออกไปนอกรางเสียชีวิตดังกล่าว


ต่อมามีนายสังเวียน แข็งโต้ อายุ 31 ปี หลานของผู้ตายและทำงานอยู่ที่เดียวกัน เดินทางเข้าให้การกับตำรวจว่า ผู้ตายมีศักดิ์เป็นอา ก่อนหน้านี้ผู้ตายไปหลงรักหญิงสาวคนหนึ่ง ทราบเพียงชื่อเล่นว่า น้องหมวย ทำงานอยู่ร้านไผ่ทอง คาราโอเกะ ห่างจากที่เกิดเหตุราว 500 เมตร ผู้ตายพยายามตามตื๊อขอความรักอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ก่อนเกิดเหตุผู้ตายไปหาน้องหมวยที่ร้านคาราโอเกะ แต่ฝ่ายหญิงก็ไม่สนใจไยดีเช่นเคย ผู้ตายจึงขู่ว่าจะไปนอนให้รถไฟทับตายเพื่อเป็นการประชด จากนั้นก็เดินออกจากร้านมานั่งขวางทางรถไฟ รอให้รถไฟแล่นมาทับจนเสียชีวิตตามที่พูดไว้

รัวยิงถล่มเพื่อนลูกชาย ส.ส. ชื่อดัง

รัวยิงถล่มเพื่อนลูกชาย'ส.ส.'ชื่อดัง
'สุวโรช พะลัง'ดับ1เจ็บ4 ทายาทนักการเมืองรอดเฉียดฉิว ตร.เต้นล่าแก๊งไอ้หัวแดงฆาตกร

ล่าไอ้หัวแดงวัยรุ่นโหดเกาะสมุยยิงถล่มกลุ่มลูกชาย ส.ส.ปชป. “สุวโรช พะลัง” ไปสิ้นใจที่ รพ. 1 ราย เจ็บอีก 4 คน ส่วนลูกนักการเมืองดังรอดฉิวเพราะเดินไปเข้าห้องน้ำ เผยลูกชายคนดังเรียนหนังสืออยู่ในกรุงเทพฯ เลยชวนเพื่อนสาวในมหาวิทยาลัยไปเที่ยวเกาะสมุยโดยมีญาตินามสกุลดัง “วัชรคุปต์” และเพื่อนที่อยู่ในเกาะสมุยเป็นไกด์พาไปเที่ยวผับ ขณะร้านเลิกขณะกำลังยืนรอลูกชายนักการเมืองคนดังเข้าห้องน้ำ วัยรุ่นอันธพาลเจ้าถิ่นแก๊งไอ้หัวแดง 6-7 คน เข้ามาพูดจาแซวหญิงในกลุ่มเลยมีการปะทะคารมถึงขั้นชกต่อยกันกันขึ้น จากนั้นฝ่ายขาโจ๋ใช้ด้ามปืนตบและยิงกราดก่อนวิ่งขึ้นรถเก๋งหลบหนี ผกก.สั่งฝ่ายสายสืบเฝ้าท่าเรือทุกแห่งป้องกันไม่ให้หนีออกจากเกาะและเตรียมออกหมายจับ เพราะมีหลักฐานชัดกล้องวิดีโอที่ทางร้านติดตั้งไว้บันทึกภาพได้

เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 24 ต.ค. ร.ต.ท.พงศ์เกษม ธนวนิชนาม ร้อยเวร สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งมีเหตุยิงกันที่หน้าสวิทโซนผับ ย่านสถานบันเทิงหาดเฉวง หมู่ 2 ต.บ่อผุด รุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.สหรัฐ ศักดิ์ศิลปะชัย ผกก. ที่เกิดเหตุมีผับอยู่ติดกันหลายร้าน มีกลุ่มนักเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ส่วนที่หน้าร้านเกิดเหตุพบเพียงกองเลือด ปลอกกระสุน กับหัวลูกปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่เกลื่อนกลาด ซองหนังใส่ปืนสีดำ 1 อัน และรองเท้าแตะอีก 5 คู่ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนคนเจ็บเพื่อนนำส่ง รพ.ใกล้เคียงรวม 5 ราย

ทราบชื่อต่อมานายอุเทน พรมฑาทิย์ อายุ 27 ปี เป็นนักมวยไทยในค่ายมวยซุปเปอร์โป อยู่ในหาดเฉวง ถูกด้ามปืนตบที่ใต้คิ้วขวาแตก นายนัฐพล จันเทศ อายุ 26 ปี ถูกยิงที่ขาขวา นายกิตติ จันเทศ อายุ 25 ปี น้องชายนายนัฐพล โดนยิงที่หน้าอกซ้ายกับรักแร้ขวารวม 2 นัด นายจักกรี ชัยรัตน์ อายุ 32 ปี โดนยิงที่ศีรษะ บาดเจ็บสาหัส และนายสุวพัฒน์ จันทร์สุข อายุ 32 ปี ถูกยิงที่หัวไหล่ แต่นายกิตติ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา ระหว่างนี้นางวาสนา จันเทศ มารดาของผู้ตายมาดูศพลูกชาย พร้อมกับให้การกับตำรวจทั้งน้ำตาว่า ลูกชายตนไม่เคยมีเรื่องราวกับใคร ทำไมคนร้ายถึงโหดเหี้ยมขนาดนี้

จากการสอบสวนนายฐิพงศ์ วัชรคุปต์ ที่อยู่ในเหตุการณ์ให้การว่า นายภวิน หรือเข็ม พะลัง อายุ 25 ปี ญาติตนเป็นลูกของนายสุว โรช พะลัง ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกำลังเรียนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง พร้อมกับเพื่อนสาวนักศึกษาที่เดียวกันอีก 6 คน เดินทางจากกรุงเทพฯ มาหาตนที่ชุมพร โดยบอกว่าอยากจะไปเที่ยวที่เกาะสมุย ตนเลยโทรฯ หากลุ่มคนเจ็บและนายกิตติผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นเพื่อนอยู่บนเกาะสมุย รวมทั้งหมด 13 คน เป็นชาย 7 คน หญิง 6 คน ชวนกันไปเที่ยวในสวิทโซนผับ โดยขณะเที่ยวนั่งดื่มกินอยู่ในผับ กลุ่มพวกตนไม่มีเรื่องราวกับใคร

กระทั่งพอผับเลิก พวกตนและผู้หญิงออกมายืนข้างนอกผับ เพื่อรอนายภวินที่เดินไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่นราว 6-7 คน โดยหนึ่งในนั้นมีพยานจำได้ว่ามีนายยอด ไม่ทราบนามสกุล เป็นหัวโจกตัดผมรองทรง และย้อมผมทั้งหัวเป็นสีแดง โดยเพื่อน ๆ ในกลุ่มเรียกว่า “ไอ้หัวแดง” เข้ามาพูดจาแซวผู้หญิง เพื่อนของนายภวิน กลุ่มคนเจ็บเลยเข้าไปขอร้องว่าอย่ามายุ่ง เพราะผู้หญิงมากับพวกตน ทำให้กลุ่มของนายยอดไม่พอใจ จึงมีปากเสียง ทะเลาะ และชกต่อยกันอุตลุด

นายฐิพงศ์ให้การต่อว่า จากนั้นคนร้ายที่อยู่ในกลุ่ม 2 คน ได้ชักปืนออกมาคนละกระบอก โดยหนึ่งในสองได้ใช้ด้ามปืนตบใบหน้าของนายอุเทน จนใต้คิ้วขวาแตกเป็นแผลเลือดอาบใบหน้า เสร็จแล้วทั้ง 2 คน ระดมยิงกระสุนใส่กลุ่มของคนเจ็บ ก่อนจะวิ่งไปขึ้น รถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีดำ ทะเบียน กจ 7045 ภูเก็ต และรถเก๋งไม่ทราบยี่ห้อทะเบียนรวม 2 คัน หลบหนีไป ส่วนคนเจ็บตนกับเพื่อนรีบนำ ตัวส่ง รพ.ก่อนแจ้งตำรวจทราบดังกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.สหรัฐเปิดเผยว่า คนร้ายกลุ่มนี้ก่อเหตุสะเทือนขวัญมาก ทำเหมือนไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทั้งที่ในที่เกิดเหตุเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีผู้คนพลุกพล่าน ทั้งคนไทยและต่างชาติ แถมยังพกปืนเข้าไปเที่ยวในสถานบริการอีก จึงได้สั่งให้ตำรวจฝ่ายสืบสวน ไปเฝ้าที่ท่าเทียบเรือทุกแห่ง ท่าที่จะข้ามไปเกาะพะงันกับ จ.สุราษฎร์ธานี เบื้องต้นเรารู้ตัวคนร้ายกลุ่มนี้แล้ว เพราะทางผับได้ติดตั้งกล้องทีวีวงจรปิด คาดว่าจะออกหมายจับเร็ว ๆ นี้ และจะตรวจสอบว่า ทางร้านมีใบอนุญาตหรือไม่อีกด้วย.

หึงซัลโวม.3สิ้นใจ แย่งจีบสาวรร.เดียวกัน

หึงซัลโวม.3สิ้นใจปิกอัพประกบถล่ม

บังอาจแย่งจีบสาว

วัยรุ่นเมืองพัทยาสุดโหดเจ็บแค้นคู่อรินักเรียนชั้น ม.3 เพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกันแย่งสาวคนเดียวกัน จนถึงขั้นลงมือชกต่อยไปพอหอมปากหอมคอก่อนเลิกรากันไป แต่ได้ประกาศขู่อาฆาตมาดร้าย “มึงตายแน่” ก่อนยกพวกตามมาไล่ยิงถล่มจนจยย.คู่อริเสียหลักล้มกลิ้งล้มหงาย สุดท้ายคมกระสุนเจาะร่างสิ้นใจอนาถ

เมื่อเวลา 01.10 น. วันที่ 24 ต.ค. ร.ต.ท.จีรศักดิ์ แอบแฝง ร้อยเวร สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รพ.กรุงเทพพัทยา ว่า มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเข้ามารักษาตัว แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา จึงไปสอบสวนพร้อมด้วย พ.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย ผกก. พบศพนายรัชพล พรายเพ็ชร อายุ 16 ปี นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี สภาพ ศพตามร่างกายมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเป็นแผลฉกรรจ์ โดยมีกลุ่มบรรดาเพื่อนนักเรียนและญาติ ๆ นั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นจำนวนมาก

จากการสอบสวนเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายพร้อม เพื่อนสนิทได้ชักชวนกันไปรวมตัวที่บริเวณ ชายหาดเมืองพัทยา แต่พอขี่รถจยย.มาถึงหน้าสุสานมูลนิธิสว่างบริบูรณ์เมืองพัทยา บริเวณซอยสนามกอล์ฟสยามคันทรีคลับ หมู่ 5 ต.หนอง ปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่เปลี่ยวและค่อนข้างมืด ระหว่างนั้นได้มีรถกระบะมิตซู บิชิ รุ่นแอล 200 สตราด้า สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน วิ่งตามมาขนาบข้าง มีกลุ่มวัยรุ่นนั่งกระบะท้ายมา 4 คน และจำได้ว่ามี น.ส.อ๊อฟ (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนเดียวกันนั่งรวมอยู่ด้วย จากนั้นคนร้ายที่นั่งคู่คนขับได้ลดกระจกลง แล้วชักปืนจ่อยิงในระยะเผาขน จนรถจยย.เสียหลักล้มลง ก่อนที่คนร้ายจะเร่งเครื่องยนต์หลบหนีไปตามถนนสุขุมวิทอย่างรวดเร็ว

ด้านนางอ้อย (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี มารดาผู้ตาย ให้การว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 3 วัน ลูกชายได้มาปรึกษาว่า ได้ไปมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน เนื่องจากไม่พอใจลูกชายที่ไปแย่งแฟนสาว ก่อนจะเลิกรากันไป แต่คู่อริได้ขู่อาฆาตลูกชายไว้ว่า “มึงตายแน่” จนในที่สุดลูกชายก็มาถูกลอบยิงเสียชีวิต ส่วนสาเหตุคาดว่า คู่อริเกิดความเจ็บแค้น จึงพาพรรคพวกสะกดรอยตามลูกชาย จนกระทั่งสบโอกาส จึงใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่จนรถจยย.ล้มลง ก่อนหลบหนีไป

ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังออกติดตามกลุ่มมือปืน พร้อมวิทยุสกัดจับกุมคนร้ายตามเส้นทางต่าง ๆ แต่ไร้วี่แวว ส่วนสาเหตุคาดว่ามาจากความหึงหวง เนื่องจากการสอบสวนพยานยืนยันว่า คนร้ายเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่พยายามข่มขู่ผู้ตายมาโดยตลอดก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ตำรวจพอจะรู้ชื่อคนร้ายแล้ว พร้อมจะเร่งติดตามมือปืนวัยรุ่นรายนี้ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เมากระท่อม ฉกรถตู้ ไล่ชนเละ 5 คัน


เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 23 ต.ค. ร.ต.ท.สายชล แสนสุข พงส.(สบ 1) สน.บางขุนเทียน ได้รับแจ้งมีอุบติเหตุรถชนกันหลายคัน ใกล้ปั๊มน้ำมัน ปตท.ถนนกัลปพฤกษ์ (ขาออก) แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กทม.จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถเก๋งโตโยต้า วีออส สีดำ ทะเบียน ษจ 9943 กรุงเทพมหานคร มีนายสุขุม เอี่ยมสะอาด เป็นคนขับ จอดอยู่ในสภาพตัวถังด้านซ้ายถูกชนยุบทั้งแถบ ห่างออกไปประมาณ 300 เมตร พบรถกระบะมิตซูบิชิ ไทรทัน สีเทาดำ ทะเบียนป้ายแดง 0731 กรุงเทพมหานคร ขับโดยนายชเนศวร เทศแก้ว อายุ 53 ปี จอดอยู่ในสภาพตัวถังด้านขวาถูกชนเสียหาย นายชเนศวรให้การว่า ขณะขับรถมาถึงบริเวณดังกล่าวเห็นรถตู้นิสสัน สีขาว ทะเบียน อษ 8003 กรุงเทพมหานคร ข้างรถติดสติกเกอร์ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ขับย้อนสวนเลน จากแยกกำนันแม้นขึ้นมาด้วยความเร็วสูง ก่อนจะชนเข้ากับรถเก๋งโตโยต้า วีออส อย่างจังจากนั้นคนขับรถตู้เลี้ยวรถเข้าไปในปั๊ม ปตท. แล้วขับวนออกมาใหม่ ในลักษณะวิ่งย้อนเลนเหมือนเดิม พุ่งชนรถตนแล้วเร่งเครื่องหลบหนีไป


ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่า รถตู้คันดังกล่าวขับไปชนรถอีก 2 คัน บริเวณหน้าร้านอาหารครัวเมืองตรัง ห่างจากที่เกิดเหตุจุดแรก ประมาณ 1 กม. จึงรุดไปตรวจสอบพบรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ตษ 6133 กรุงเทพมหานคร ขับโดยนายกฤตนัย พัวขันติกุล อายุ 41 ปี ตัวถังด้านซ้ายถูกชนพังยับ ก่อนที่รถตู้จะหมุนคว้างไปชนรถแท็กซี่โตโยต้า อัลติส สีชมพู ทะเบียน ทร 7132 กรุงเทพมหานคร ขับโดยนายน้อย พยัคฆ์ซ้อน อายุ 55 ปี เป็นเหตุให้ผู้โดยสารที่นั่งมา 2 คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตากสิน ขณะที่คนขับรถตู้ถูก จ.ส.ต.นันทวัฒน์ หมั่นถาวรวงศ์ ผบ.หมู่ (จร.) สน.บางขุนเทียน จับกุมตัวไว้ได้ในที่เกิดเหตุ ทราบชื่อนายสมศักดิ์ โพทะนันท์ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 138 หมู่ 3 ต.บ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก เบื้องต้นยังให้การวกวน จึงนำตัวไปสงบสติอารมณ์เพื่อรอการสอบปากคำที่ สน.บางขุนเทียน ในระหว่างนั้นเกิดอุบัติเหตุซ้อนขึ้นอีก เมื่อนายปกรณ์ สังข์ปาน อายุ 31 ปี ขับรถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ สีขาว ทะเบียน สษ 6667 กรุงเทพมหานคร ของ บจก.กรุงไทยธุรกิจบริการ พุ่งชนท้ายรถกระบะโตโยต้า วีโก้ ของนายกฤตนัย ที่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายออกจากที่เกิดเหตุ ทำให้นายปกรณ์ได้รับบาดเจ็บไปอีกคน


ต่อมามีเจ้าหน้าที่ของศูนย์หนังสือจุฬาฯ เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน พร้อมเปิดเผยว่า ปกติรถคันดังกล่าวจะจอดรวมกับรถตู้อีก 5-6 คันที่หน้าอาคารแว่นแก้ว ซอยจุฬาฯ 9 ไม่ทราบว่านายสมศักดิ์ขับออกมาได้อย่างไร เพราะไม่ใช่พนักงานขับรถของศูนย์หนังสือจุฬาฯ


ด้าน ร.ต.ท.สายชลเปิดเผยว่า จากการสอบสวนในเบื้องต้นพอจับใจความได้ว่า นายสมศักดิ์เสพใบกระท่อมจนเกิดอาการหลอน แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ขับรถตู้ คันดังกล่าวมาได้อย่างไร ในชั้นนี้จึงแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บและลักทรัพย์ จากนั้นจะนำตัวไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดต่อไป สำหรับอุบัติเหตุดังกล่าวทำให้รถเสียหาย 6 คัน และมีผู้บาดเจ็บ 3 คน


อีกรายเมื่อเวลา 09.20 น. วันเดียวกัน ร.ต.ท.สถาพร ตระกูลสุนทรชัย พงส. (สบ 1) สน.คันนายาว รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถกระบะชนท้ายรถตู้โดยสารประจำทาง มีผู้ ได้รับบาดเจ็บหลายราย บริเวณปากซอยรามอินทรา 42/3 ช่วง กม.7 ถนนรามอินทราขาเข้า แขวงและเขตคันนายาว จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณป้ายรถประจำทาง พบรถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด สีเทา ทะเบียน ชถ 1632 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้าซ้ายพังยับเยิน ยางซ้ายแตก โดยมีนางบุษบา ประสมจันทร์ อายุ 29 ปี เป็นผู้ขับมากับญาติๆอีก 4 คน ต่างได้รับบาดเจ็บคนละเล็กน้อย ด้านหน้ารถกระบะมีรถตู้โดยสารประจำทางปรับอากาศ โตโยต้า สีขาว ทะเบียนป้ายแดง ษ 7496 กรุงเทพมหานคร วิ่งระหว่างมีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ประตูเลื่อนด้านซ้ายหลุด ท้ายรถด้านขวาถูกชนยุบ โดยมีนายวิเชียร เหง้าบุตร อายุ 45 ปี เป็นผู้ขับ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้ ผู้โดยสารที่มากับรถตู้ได้รับบาดเจ็บคนละเล็กน้อยรวม 13 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลศรีสยาม และโรงพยาบาลสินแพทย์ ทั้งหมดอาการปลอดภัย


นายวิเชียร โชเฟอร์รถตู้ให้การว่า ขับรถรับผู้ โดยสารมาตามเส้นทางถนนรามอินทราขาเข้า เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์ที่เกิดเหตุ เข้าจอดชิดขอบทางด้านซ้ายเพื่อให้ผู้โดยสารลงจากรถ พอจอดรถสนิทแล้ว กลับถูกรถกระบะพุ่งเข้าชนท้ายอย่างจัง ทำให้ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ภายในรถได้รับบาดเจ็บไปตามกัน


ด้านนางบุษบา คู่กรณีที่ขับรถชนท้ายให้การว่า ก่อนเกิดเหตุขับรถมาในเลนซ้ายสุด ระหว่างนั้นรถติดมาก จึงเปลี่ยนเลนขับออกทางด้านขวา เป็นจังหวะที่รถในเลนดังกล่าวเร่งเครื่องขึ้นมาด้วยความเร็ว ทำให้ตนชะงักและหักหัวรถไม่พ้นพุ่งชนรถตู้ดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ

ตื่นพระพุทธรูปน้ำตาไหล ที่เชียงใหม่คนแห่ดู



ฮือฮาพบพระพุทธรูปร้องไห้ รายนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านใน อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ว่าเกิดเรื่องแปลกประหลาด พระพุทธรูปร้องไห้ ที่วัดปางมะขามป้อม หรือวัดป่าธรรมรักษา ต.ศรีดงเย็น อ.ไชยปราการ จึงเดินทางไปตรวจสอบพบภายในวัดดังกล่าวมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาดูพระพุทธรูปร้องไห้ พระบุญส่ง ฐิติญาโณ เจ้าอาวาสวัด เปิดเผยว่า ที่วัดมีพระพุทธรูปร้องไห้หลายองค์ ซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถเป็นทองเหลืองที่พุทธศาสนิกชนได้นำมาถวายไว้ครั้งได้ก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2548 และใช้เป็นที่ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา

กระทั่งเมื่อคืนวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ อุโบสถวอดทั้งหลังโดยพระพุทธรูปถูกไฟไหม้เสียหายไปหลายองค์ หลังจากเกิดเหตุ ชาวบ้านได้มาช่วยกันทำความสะอาดและเตรียมการบูรณะอุโบสถ แต่หลังจากยกพระประธานและพระพุทธรูปหลายองค์ออกจากพระวิหารเพื่อจะมาทำความสะอาด คราบเขม่าขี้เถ้าออก กลับพบว่า พระประธานองค์ใหญ่มีคราบคล้ายน้ำตาไหลออกจากดวงตา เหมือนกับพระพุทธรูปกำลังร้องไห้ ขัดทำความสะอาดเท่าใดก็ไม่ออก สร้างความเศร้าสลดใจให้กับชาวบ้านที่พบเห็นเป็นอย่างมาก โดยชาวบ้านต่างลือกันไป ต่าง ๆ นานา ว่าที่องค์พระท่านร้องไห้นั้นเพราะเสียใจที่ไม่สามารถจะปกป้องอุโบสถไว้ได้

ทั้งนี้ พระบุญส่ง วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาช่วยเหลือซ่อมแซมบูรณะอุโบสถวัดด้วย.

ฮือฮาเจอ*ฟอสซิล* ไดโนเสาร์แห่งใหม่



เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 ต.ค. นายเดชา ตันติยวรงค์ ผวจ.กาฬสินธุ์ พร้อมคณะ นำสื่อมวลชนเดินทางลงพื้นที่สำรวจแหล่งขุดค้นพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ และซากสัตว์โบราณ ที่บริเวณภูน้อย ติดกับเขตเทือกเขาภูพาน บ้านโคกสนาม ต.ดินจี่ อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการขุดค้น และสำรวจอย่างละเอียดของเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรธรณี โดยบริเวณดังกล่าวห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กม. เป็นที่ดินของนางสีทัน แสงสิทธิ์ อายุ 62 ปี ชาวบ้านห้วยสมอทบ ต.ดินจี่ ซึ่งเป็นที่ดิน ส.ป.ก. พบว่าเจ้าหน้าที่กำลังขุดสำรวจและพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ชนิดกินพืชและกินเนื้อ และซากสัตว์โบราณหลายชนิด ซึ่งมีอายุประมาณ 150 ล้านปี

ต่อมาคณะได้เข้าดูพื้นที่บริเวณภูปอ บ้านคำสมบูรณ์ ต.นาบอน อ.คำม่วง ซึ่งเป็นสถานที่พบต้นไม้กลายเป็นหินจำนวนมาก ด้านนางสาวธิดา แสนยะมูล หน.หน่วยสำรวจธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่า เริ่มต้นได้รับแจ้งจากชาวบ้านและได้รับการประสานจากอำเภอคำม่วง ว่าพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์จำนวนหนึ่งที่บริเวณดังกล่าว จากนั้นจึงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์สิรินธร จ.กาฬสินธุ์ นำกระดูกเข้าตรวจสอบ ซึ่งก็พบว่าเป็นกระดูกไดโน เสาร์จริง จากการสำรวจเบื้องต้นพบฟอสซิล ไดโนเสาร์ชนิดกินพืชและกินเนื้อ นอกจากนี้ ยังพบซากกระดูกของจระเข้ ฟันปลาฉลามน้ำจืด ปลาโบราณ จำนวนมาก คาดว่ามีอายุมากกว่า 150 ล้านปี อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการขุดสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงจะสามารถระบุได้ว่าฟอสซิลไดโนเสาร์มีความสมบูรณ์มากน้อย ขนาดไหน เป็นกระดูกในยุคสมัยใด

ด้านนายเดชา กล่าวว่า จากการสอบถามทีมสำรวจและขุดค้น ทราบว่าซากฟอสซิลที่ถูกค้นพบมีจำนวนกว่า 100 ชิ้น เป็นฟอสซิล ของไดโนเสาร์ทั้งพันธุ์กินพืชและกินสัตว์ นอกจากนี้ยังพบว่ามีฟันของปลาฉลามน้ำจืด จระเข้ ปลาปิโดเคส ปลาโบราณ ซึ่งฟอสซิลที่ถูกค้นพบในครั้งนี้มีอายุกว่า 150 ล้านปี โดยพบอยู่ในหมวดหินภูกระดึง แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อการศึกษาอย่างละเอียดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยทาง นักวิชาการและทีมสำรวจจะมาขนย้ายซากฟอสซิล ไปยังพิพิธภัณฑ์สิรินธร อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อทำการศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง และทางจังหวัดจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในการขุดค้นพบแห่งที่ 2 ของ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งจะสามารถเชื่อมไปยังแหล่งพบต้นไม้กลายเป็นหินที่ภูปอ บ้านคำสมบูรณ์ ต.นาบอน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์อีกด้วย.

พบภาพวีดีโอ มัดรุ่นพี่รับน้องโหด


วันนี้(24 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า เหตุรับน้องโหด ที่หาดเจ้าสำราญ จ.เพชรบุรี จนเป็นเหตุให้นายนิโรจน์ศักดิ์ อินทรโชติ รุ่นน้องที่เข้าร่วมกิจกรรม ได้รับบาดเจ็บสาหัส ว่า พบหลักฐานสำคัญ เป็นภาพจากกล้องวีดีโอที่นักท่องเที่ยวชาวราชบุรี บันทึกไว้ได้ในวันเกิดเหตุ โดยจากภาพพบว่า มีรุ่นพี่ทั้งหมด 7 คน ที่ร่วมกิจกรรมทิ้งดิ่ง ซึ่งตรงกับคำให้การของพยาน พนักงานสอบสวนจึงเตรียมประสานขอภาพมาตรวจสอบหาผู้เกี่ยวข้อง ขณะที่ญาติผู้บาดเจ็บขอร้องให้ผู้เห็นเหตุการณ์เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อจับกุมรุ่นพี่ที่เหลือมาดำเนินคดี.

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Hi5 ลวงโลก จับสาว เอารูปลีดเดอร์ ม.ดัง จีบนศ.แพทย์


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 ต.ค. พ.ต.อ.ประยนต์ ลาเสือ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.1 บก.ป. พร้อมกำลัง จับกุม น.ส.จุฑารัตน์ อนันตา อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 171/2262 ถนนพหลโยธิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม.ตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 2927/2551 ลงวันที่ 20 ต.ค. 2551 ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จับกุมได้ที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง ตรงข้ามศูนย์การค้าฟิวเจอร์ พาร์ค สาขารังสิต ถนนพหลโยธิน ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อค่ำวันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้วันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา น.ส.ภัสราภา กัลยางกูร หรือลูกตาล อายุ 24 ปี นางแบบวัยรุ่น และอดีตเชียร์ลีดเดอร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2547 (งานบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 60) เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่นำข้อมูลรวมทั้งรูปภาพส่วนตัวไปสมัครสมาชิกในเว็บไซต์ hi5 โดยอ้างว่าเป็น น.ส.ภัสราภา เพื่อพูดคุยกับสมาชิกผู้ชายคนอื่นๆ ทำให้ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ยังมีเพื่อนของผู้เสียหายคือ จุก-ธนิยา อำมฤตโชติ อายุ 24 ปี อดีตเชียร์ลีดเดอร์ และ 1 ในนักแสดงนำภาพยนตร์เรื่อง “ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น” ยังถูกผู้ต้องหารายนี้นำข้อมูลส่วนตัวไปเปิดเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อใช้พูดคุยกับบุคคลอื่นด้วย โดย น.ส.ภัสราภาได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สน.โชคชัย แต่ไม่มีความคืบหน้า จึงเดินทางมาประสานตำรวจกองปราบปรามให้ช่วยสืบสวนจับกุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจาก น.ส.ภัสราภาและจุก-ธนิยา ที่ตกเป็นผู้เสียหายแล้ว ยังมี น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 24 ปี นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พลอยฟ้าพลอยฝนได้รับความเสียหายด้วย โดย น.ส.เอ ถูก น.ส.จุฑารัตน์นำข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ เบอร์โทรศัพท์มือถือ ไปโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตเพื่อชวนผู้อื่นมามีเพศสัมพันธ์ทำให้ น.ส.เอได้รับความเสียหาย สาเหตุเกิดจากผู้ต้องหาซึ่งแอบอ้างเป็น น.ส.ภัสราภาได้พูดคุยกับนักศึกษาแพทย์ชายรายหนึ่งผ่าน hi5 จนสนิทสนมจนทราบว่านักศึกษาแพทย์ชายรายนี้มีแฟนสาวคือ น.ส.เอ ทำให้ น.ส.จุฑารัตน์ไม่พอใจ ค้นหาข้อมูลส่วนตัว น.ส.เอไปก่อความเสียหายดังกล่าว

จากการสอบสวน น.ส.จุฑารัตน์ให้การรับสารภาพ ว่า นำข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายซึ่งได้มาจากอินเตอร์เน็ตไปใช้เพื่อไว้พูดคุยกับหนุ่มๆ โดยเฉพาะนักศึกษาแพทย์ผ่านทาง hi5 ที่ผ่านมามีนักศึกษาแพทย์หลงเชื่อประมาณ 4 ราย ส่วนการนำข้อมูลส่วนตัวไปเปิดใช้บริการโทรศัพท์มือถือนั้น น.ส.จุฑารัตน์ไม่ยอมเปิดเผยที่มาของข้อมูลดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย สอบสวนขยายผลและดำเนินคดีต่อไป สำหรับ น.ส.จุฑารัตน์ เป็นบุตรสาวของนายทหารยศนาวาอากาศตรีผู้หนึ่งในกองทัพอากาศด้วย

รับน้องโหด ทิ้งดิ่ง ปวช.1โคม่า

ปวช.ปี 1” โคม่า รุ่นพี่เทคนิคดังเมืองกรุง รับน้องโหด ขนรุ่นน้องปี 1 และปี 2 ราว 30 ชีวิต ไปทำกิจกรรมรับน้องที่หาดเจ้าสำราญ จ.เพชรบุรี สั่งดื่มเหล้าขาวผสมน้ำแดงจนเมามาย ก่อนเล่นพิเรนทร์บังคับ “ทิ้งดิ่งหน้าทิ่มทราย” ติดต่อกันนานนับชั่วโมง เหยื่อทนไม่ไหวสลบเหมือด พี่ชายหามส่งรพ. หมอระบุสมองบวม-มีเลือดคั่ง ต้องผ่าตัดดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่รู้สึกตัว แม่ร่ำไห้ทำใจหมอบอกอาการสาหัส ถามหาคนรับผิดชอบ ตำรวจหิ้วนศ.ร่วมก๊วนสอบ ล่าตัวรุ่นพี่คนสั่งการดำเนินคดี สงสัยเป็นผู้หญิง

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 22 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านพลเมืองดีว่า มีนักศึกษามาจัดกิจกรรมรับน้องใหม่ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง บริเวณหาดเจ้าสำราญ ต.หาดเจ้าสำราญ อ.เมือง จ.เพชรบุรี และมีนักศึกษารุ่นน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกส่งไปรักษาตัวที่ รพ.เมืองเพชร-ธนบุรี จึงเดินทางไปตรวจสอบที่ รพ. ทราบว่ารุ่นน้องผู้เคราะห์ร้ายคือนายต่าย (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี นศ.ปวช. ชั้นปี 1 แผนกช่างไฟฟ้า โรงเรียนเทคนิคแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีบ้านพักอยู่ใน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในห้องผ่าตัด เพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือน อย่างรุนแรงจนสมองบวมและมีเลือดคั่ง แพทย์ อยู่ระหว่างการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยมีบุคคลในครอบครัวคอยดูแลด้วยความเป็นห่วง

นายกวาง (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี พี่ชายนายต่าย เปิดเผยว่า เป็น นศ.ปวช. ชั้นปี 2 แผนกช่างยนต์ สถาบันเดียวกับน้องชาย ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา นศ.รุ่นพี่ทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ และที่จบไปแล้ว ได้พา นศ.รุ่นน้องชั้นปี 1 และปี 2 รวมทั้งหมด 30 คน เดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่ บริเวณหาดเจ้าสำราญ โดยเช่ารถสองแถวจากกรุง เทพฯ เดินทางมาถึงรีสอร์ทที่พักในช่วงบ่าย หลังนำสัมภาระเก็บเข้าห้องพัก รุ่นพี่ได้ซื้อเหล้าขาวเอามาผสมน้ำแดงให้รุ่นน้องดื่มรวมทั้งน้องชายตนด้วย กระทั่งตกเย็นทุกคนก็เมากันหมด รุ่นพี่ได้สั่งให้น้องชายตนกับรุ่นน้องอีกประมาณ 10 คน กอดคอกันและทิ้งดิ่งลงบนผืนทรายบริเวณชายทะเลที่ติดกับห้องพัก ในลักษณะ เอาใบหน้ากระแทกกับพื้นอย่างแรงเป็นระยะ ๆ ติดต่อกันหลายครั้ง จนรุ่นน้องคนหนึ่งเกิดหน้ามืดหมดสติไป ต้องปฐมพยาบาลกันยกใหญ่

นายกวางเล่าต่อว่า แต่รุ่นพี่ไม่ยอมหยุดยังสั่งให้ทำกิจกรรมแบบเดิมต่อไปอีกหลาย ชั่วโมง กระทั่งเวลา 21.00 น. น้องชายทนไม่ไหวหมดสตินอนแน่นิ่งไป ตนจึงบอกรุ่นพี่ให้รีบนำส่ง รพ. แต่รุ่นพี่ไม่สนใจ ตนจึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าของรถคันที่เช่ามา พาน้องชายส่ง รพ. แพทย์ตรวจดูอาการพบว่าสมองบวม มีเลือดคั่งในสมอง ต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เจ้าหน้าที่ รพ.จึงโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดามารดาของตน ขณะที่มารดาของ นศ.เหยื่อรับน้องโหด กล่าวทั้งน้ำตาว่า หลังเกิดเรื่องรุ่นพี่ของลูกชายติดต่อมาว่าจะช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ ตอนนี้ค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นเป็นเงินกว่า 1 แสนบาทแล้ว ครอบครัวตนฐานะไม่ค่อยดี ไม่รู้จะหาเงินมาจากไหน เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้น ใครจะรับผิดชอบ และแพทย์ก็บอกให้ทำใจ เพราะลูกชายอาการสาหัส ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ต้องรอดูอาการอย่างใกล้ชิด หลังเกิดเหตุได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หาดเจ้าสำราญ แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ตำรวจเดินทางไปตรวจสอบที่รีสอร์ทเกิดเหตุ พบวงสำรับกับแกล้มและขวดเหล้ายังวางอยู่เกลื่อนกลาด และพบ นศ.บางส่วนทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องยังไม่ได้คืนห้องพักออกไป จึงเชิญตัวไปสอบปากคำเบื้องต้น ทางด้านผู้ดูแลรีสอร์ทดังกล่าว เล่าว่า นศ.มาเข้าพักโดยอ้างว่ามาพักผ่อนช่วงปิดเทอม เห็นว่าเป็นเรื่องปกติจึงไม่ได้ สนใจอะไร แต่ต่อมามีผู้ที่เข้าพักรายอื่นมาแจ้งว่า มีการจัดกิจกรรมรับน้องกันค่อนข้างรุนแรง สักพักก็มีตำรวจมาตักเตือน ก็นึกว่าไม่มีอะไรแล้ว

พ.ต.ท.ชัยยุทธ ถมยา สวญ.สภ.หาดเจ้าสำราญ กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุช่วงบ่ายวันที่ 21 ต.ค. ตำรวจได้เข้าไปตักเตือนกลุ่มนักศึกษาเหล่านี้แล้วว่าอย่าทำอะไรที่รุนแรง จะรับน้อง ก็ให้อยู่ในความเหมาะสม แต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นมาจนได้ ตนได้สั่งกำชับให้พนักงานสอบสวนรีบสอบสวนพยานทั้งหมดเพื่อหาตัวรุ่นพี่ที่บงการสั่งรับรุ่นน้องจนบาดเจ็บ เพื่อแจ้งข้อกล่าว หาและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เบื้องต้นนักศึกษาหลายคนอ้างไม่รู้เรื่องว่าใครเป็นคนสั่งกันแน่ ตนเชื่อว่าคงเป็นการปกป้องกันเอง แต่เบื้องต้นตนได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่ารุ่นพี่ที่สั่งเป็นผู้หญิง ซึ่งคงต้องสืบสวนสอบสวนหาหลักฐานและพยาน มายืนยันให้แน่ชัดอีกครั้ง.

ข่มขืน ลูกสาววัย13 ท้องจนคลอด ตกเลือดสาหัส

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 ต.ค. ศูนย์ประชาบดี หน่วยงานช่วยเหลือเด็กและสตรี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ประสาน พ.ต.ท.จุมพล คณานุรักษ์ รอง ผกก.ศดส.บช.น. ให้ไปตรวจสอบ ด.ญ.วัย 13 ถูกพ่อเลี้ยงขืนใจจนตั้งครรภ์และคลอดลูกสาว นอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ราชวิถี ทราบชื่อเหยื่อสาวคือ ด.ญ.จุ๋ม (นามสมมติ) ตกเลือดและคลอดลูกในห้องเช่าย่านโชคชัย 4 ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยทั้งแม่และลูกอยู่ในสภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่แข็งแรง

เหยื่อกามที่กลายเป็นแม่ตั้งแต่อายุ 13 ให้รายละเอียดว่า พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ตนอายุ 10 ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.5 ต่อมานางแตงอ่อน อ้อละอ่อน อายุ 35 ปี แม่ มาได้สามีใหม่ชื่อนายต่อศักดิ์ พฤกษจันทร์ อายุ 30 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป และไปอาศัยอยู่ด้วยกันที่ห้องเช่าเลขที่ 809 ในซอยลาดพร้าว 62 หรือซอยเท่งสุข แขวงและเขตวังทองหลาง ตั้งแต่ปี 48 ในตอนแรกพ่อเลี้ยงก็รักใคร่เอ็นดูเหมือนลูกแท้ๆ กระทั่งเวลาผ่านไปปีเศษ ในตอนกลางคืนพ่อเลี้ยงใจหื่นได้ใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน พยายามดิ้นรนแต่สู้เรี่ยวแรงไม่ไหว ถูกขืนใจจนสำเร็จความใคร่ โดยพ่อเลี้ยงกำชับห้ามเล่าเรื่องให้แม่ฟังเด็ดขาดมิฉะนั้นจะทำร้าย

เด็กหญิงเหยื่อกามให้การต่อว่า หลังจากนั้นในตอนกลางคืนพ่อเลี้ยงก็จะหาโอกาสตอนแม่หลับ ขืนใจเรื่อยมาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี กระทั่งเรียนชั้น ม.1 เมื่อต้นปี 51 รู้สึกว่าตัวเองตั้งครรภ์ จึงลาออกจากโรงเรียน โดยบอกกับอาจารย์ว่าไม่มีเงินเรียนหนังสือ ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเช่าเลขที่ 1203 ในซอยโชคชัย 4 ในขณะที่ท้องก็เริ่มใหญ่ขึ้น จึงไม่กล้าออกไปไหน และไม่กล้าเล่าเรื่องให้แม่ฟัง กระทั่งวันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา ไม่มีใครอยู่ มีอาการตกเลือด และคลอดลูกสาวออกมาภายในห้อง จึงร้องเรียกเพื่อนบ้านให้ช่วยเหลือนำส่ง รพ. จากนั้นเล่าเรื่องราวให้แพทย์และพยาบาลฟัง ก่อนที่จะแจ้งตำรวจไปตรวจสอบในที่สุด

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายต่อศักดิ์ พฤกษจันทร์ พ่อเลี้ยงจอมหื่นได้ที่หน้า รพ.สยามเปาโลเมมโมเรียล ในซอยโชคชัย 4 จากนั้นนำตัวไปดำเนินคดี ที่ สน.โชคชัย ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี เบื้องต้นนายต่อศักดิ์ให้การยอมรับสารภาพว่าขืนใจลูกเลี้ยงมานาน 3 ปีติดต่อกันกระทั่งตั้งครรภ์จริงโดยอ้างว่าไม่ได้ข่มขู่ แต่เด็กสมยอม และเมียก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เจ้าหน้าที่ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือ 2 แม่ลูกวัยละอ่อนในเบื้องต้นแล้ว

พ.ต.ท.จุมพล คณานุรักษ์ รอง ผกก.ศดส.บช.น. กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น แม้แม่ของเหยื่อสาวจะไม่เอาความ แต่ตำรวจต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ เสียหายยังเป็นเด็ก ขณะนี้สอบปากคำนางแตงอ่อน แม่ของเหยื่อสาว ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ เพราะนอนหลับ เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ

ข่มขืน ลูกสาววัย13 ท้องจนคลอด ตกเลือดสาหัส

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 ต.ค. ศูนย์ประชาบดี หน่วยงานช่วยเหลือเด็กและสตรี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ประสาน พ.ต.ท.จุมพล คณานุรักษ์ รอง ผกก.ศดส.บช.น. ให้ไปตรวจสอบ ด.ญ.วัย 13 ถูกพ่อเลี้ยงขืนใจจนตั้งครรภ์และคลอดลูกสาว นอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ราชวิถี ทราบชื่อเหยื่อสาวคือ ด.ญ.จุ๋ม (นามสมมติ) ตกเลือดและคลอดลูกในห้องเช่าย่านโชคชัย 4 ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยทั้งแม่และลูกอยู่ในสภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่แข็งแรง

เหยื่อกามที่กลายเป็นแม่ตั้งแต่อายุ 13 ให้รายละเอียดว่า พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ตนอายุ 10 ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.5 ต่อมานางแตงอ่อน อ้อละอ่อน อายุ 35 ปี แม่ มาได้สามีใหม่ชื่อนายต่อศักดิ์ พฤกษจันทร์ อายุ 30 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป และไปอาศัยอยู่ด้วยกันที่ห้องเช่าเลขที่ 809 ในซอยลาดพร้าว 62 หรือซอยเท่งสุข แขวงและเขตวังทองหลาง ตั้งแต่ปี 48 ในตอนแรกพ่อเลี้ยงก็รักใคร่เอ็นดูเหมือนลูกแท้ๆ กระทั่งเวลาผ่านไปปีเศษ ในตอนกลางคืนพ่อเลี้ยงใจหื่นได้ใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน พยายามดิ้นรนแต่สู้เรี่ยวแรงไม่ไหว ถูกขืนใจจนสำเร็จความใคร่ โดยพ่อเลี้ยงกำชับห้ามเล่าเรื่องให้แม่ฟังเด็ดขาดมิฉะนั้นจะทำร้าย

เด็กหญิงเหยื่อกามให้การต่อว่า หลังจากนั้นในตอนกลางคืนพ่อเลี้ยงก็จะหาโอกาสตอนแม่หลับ ขืนใจเรื่อยมาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี กระทั่งเรียนชั้น ม.1 เมื่อต้นปี 51 รู้สึกว่าตัวเองตั้งครรภ์ จึงลาออกจากโรงเรียน โดยบอกกับอาจารย์ว่าไม่มีเงินเรียนหนังสือ ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเช่าเลขที่ 1203 ในซอยโชคชัย 4 ในขณะที่ท้องก็เริ่มใหญ่ขึ้น จึงไม่กล้าออกไปไหน และไม่กล้าเล่าเรื่องให้แม่ฟัง กระทั่งวันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา ไม่มีใครอยู่ มีอาการตกเลือด และคลอดลูกสาวออกมาภายในห้อง จึงร้องเรียกเพื่อนบ้านให้ช่วยเหลือนำส่ง รพ. จากนั้นเล่าเรื่องราวให้แพทย์และพยาบาลฟัง ก่อนที่จะแจ้งตำรวจไปตรวจสอบในที่สุด

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายต่อศักดิ์ พฤกษจันทร์ พ่อเลี้ยงจอมหื่นได้ที่หน้า รพ.สยามเปาโลเมมโมเรียล ในซอยโชคชัย 4 จากนั้นนำตัวไปดำเนินคดี ที่ สน.โชคชัย ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี เบื้องต้นนายต่อศักดิ์ให้การยอมรับสารภาพว่าขืนใจลูกเลี้ยงมานาน 3 ปีติดต่อกันกระทั่งตั้งครรภ์จริงโดยอ้างว่าไม่ได้ข่มขู่ แต่เด็กสมยอม และเมียก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เจ้าหน้าที่ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือ 2 แม่ลูกวัยละอ่อนในเบื้องต้นแล้ว

พ.ต.ท.จุมพล คณานุรักษ์ รอง ผกก.ศดส.บช.น. กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น แม้แม่ของเหยื่อสาวจะไม่เอาความ แต่ตำรวจต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ เสียหายยังเป็นเด็ก ขณะนี้สอบปากคำนางแตงอ่อน แม่ของเหยื่อสาว ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ เพราะนอนหลับ เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ

ข่มขืน ลูกสาววัย13 ท้องจนคลอด ตกเลือดสาหัส

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 ต.ค. ศูนย์ประชาบดี หน่วยงานช่วยเหลือเด็กและสตรี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ประสาน พ.ต.ท.จุมพล คณานุรักษ์ รอง ผกก.ศดส.บช.น. ให้ไปตรวจสอบ ด.ญ.วัย 13 ถูกพ่อเลี้ยงขืนใจจนตั้งครรภ์และคลอดลูกสาว นอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ราชวิถี ทราบชื่อเหยื่อสาวคือ ด.ญ.จุ๋ม (นามสมมติ) ตกเลือดและคลอดลูกในห้องเช่าย่านโชคชัย 4 ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยทั้งแม่และลูกอยู่ในสภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่แข็งแรง

เหยื่อกามที่กลายเป็นแม่ตั้งแต่อายุ 13 ให้รายละเอียดว่า พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ตนอายุ 10 ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.5 ต่อมานางแตงอ่อน อ้อละอ่อน อายุ 35 ปี แม่ มาได้สามีใหม่ชื่อนายต่อศักดิ์ พฤกษจันทร์ อายุ 30 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป และไปอาศัยอยู่ด้วยกันที่ห้องเช่าเลขที่ 809 ในซอยลาดพร้าว 62 หรือซอยเท่งสุข แขวงและเขตวังทองหลาง ตั้งแต่ปี 48 ในตอนแรกพ่อเลี้ยงก็รักใคร่เอ็นดูเหมือนลูกแท้ๆ กระทั่งเวลาผ่านไปปีเศษ ในตอนกลางคืนพ่อเลี้ยงใจหื่นได้ใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน พยายามดิ้นรนแต่สู้เรี่ยวแรงไม่ไหว ถูกขืนใจจนสำเร็จความใคร่ โดยพ่อเลี้ยงกำชับห้ามเล่าเรื่องให้แม่ฟังเด็ดขาดมิฉะนั้นจะทำร้าย

เด็กหญิงเหยื่อกามให้การต่อว่า หลังจากนั้นในตอนกลางคืนพ่อเลี้ยงก็จะหาโอกาสตอนแม่หลับ ขืนใจเรื่อยมาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี กระทั่งเรียนชั้น ม.1 เมื่อต้นปี 51 รู้สึกว่าตัวเองตั้งครรภ์ จึงลาออกจากโรงเรียน โดยบอกกับอาจารย์ว่าไม่มีเงินเรียนหนังสือ ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเช่าเลขที่ 1203 ในซอยโชคชัย 4 ในขณะที่ท้องก็เริ่มใหญ่ขึ้น จึงไม่กล้าออกไปไหน และไม่กล้าเล่าเรื่องให้แม่ฟัง กระทั่งวันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา ไม่มีใครอยู่ มีอาการตกเลือด และคลอดลูกสาวออกมาภายในห้อง จึงร้องเรียกเพื่อนบ้านให้ช่วยเหลือนำส่ง รพ. จากนั้นเล่าเรื่องราวให้แพทย์และพยาบาลฟัง ก่อนที่จะแจ้งตำรวจไปตรวจสอบในที่สุด

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายต่อศักดิ์ พฤกษจันทร์ พ่อเลี้ยงจอมหื่นได้ที่หน้า รพ.สยามเปาโลเมมโมเรียล ในซอยโชคชัย 4 จากนั้นนำตัวไปดำเนินคดี ที่ สน.โชคชัย ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี เบื้องต้นนายต่อศักดิ์ให้การยอมรับสารภาพว่าขืนใจลูกเลี้ยงมานาน 3 ปีติดต่อกันกระทั่งตั้งครรภ์จริงโดยอ้างว่าไม่ได้ข่มขู่ แต่เด็กสมยอม และเมียก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เจ้าหน้าที่ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือ 2 แม่ลูกวัยละอ่อนในเบื้องต้นแล้ว

พ.ต.ท.จุมพล คณานุรักษ์ รอง ผกก.ศดส.บช.น. กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น แม้แม่ของเหยื่อสาวจะไม่เอาความ แต่ตำรวจต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ เสียหายยังเป็นเด็ก ขณะนี้สอบปากคำนางแตงอ่อน แม่ของเหยื่อสาว ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ เพราะนอนหลับ เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รวบเกย์หนุ่มตุ๋น นศ. ร่วมทีมจัดคอนเสิร์ตนูโว

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 21 ต.ค. ร.ต.อ.อัศวิน วงศ์บัวเจริญ รอง สว.สส. สน.ดินแดง กับพวกจับกุมนายเจริญพงษ์ หรือพงษ์ เอื้อวัณณะโชติมา อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 110/2 หมู่ 10 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาข้อหาฉ้อโกงประชาชน พร้อมของกลาง เอกสารสำเนาบัตรประชาชนผู้เสียหายหลายราย โดยสามารถจับกุมได้ที่ห้อง 403 หอพักบ้านศรัณยา ซอยวิภาวดีรังสิต 2 แขวงและเขตดินแดง กทม.

ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมามีผู้เสียหายกว่า 42 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.เพ็ชรอมร คลองใจ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ดินแดง ว่าถูกผู้ต้องหาอ้างตัวเป็นหัวหน้าฝ่ายคอนเสิร์ตของบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กำลังต้องการทีมงานสตาฟฟ์ไปร่วมคอนเสิร์ตของวงนูโว ครบรอบ 25 ปี และละครเวทีเรื่องข้างหลังภาพจำนวนมาก ผู้เสียหายหลงเชื่อ เนื่องจากมีบุคคลที่นับถือรับรองว่าผู้ต้องหาเป็นพนักงานของค่ายแกรมมี่จริง ทำให้ ยอมจ่ายเงินเป็นค่าเสื้อสตาฟฟ์รายละ 200 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 8,400 บาท นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังอ้างกับผู้เสียหายบางรายว่า สามารถซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงได้ในราคาถูก เพราะเป็นสินค้าปลอดภาษี หลายรายหลงเชื่อเสียเงินอีกนับหมื่นบาทไปสั่งซื้อสินค้าดังกล่าวด้วย

นายเจริญพงษ์รับสารภาพว่า ไม่ใช่พนักงานของแกรมมี่ตามที่กล่าวอ้าง ที่ออกอุบายหลอกเงินผู้เสียหายเพื่อต้องการไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และรักษาโรคไต ทำไปเพราะความจำเป็น เนื่องจากขัดสนเงินทองอย่างหนัก ไม่มีงานทำ ทั้งที่จริงแล้วในอดีตครอบครัวถือว่ามีฐานะร่ำรวย เคยเรียนอยู่ในโรงเรียนชั้นนำของประเทศ แต่หลังบิดาล้มละลายจากการทำธุรกิจขายอะไหล่รถ ชีวิตเลยพลิกผันต้องระหกระเหินต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวมาตลอด เมื่อตอนเป็นเด็กยังเคยถูกอาจารย์สอนนาฏศิลป์ล่วงละเมิดทางเพศ ทำให้โตขึ้นมามีจิตใจเบี่ยงเบนชอบผู้ชายด้วยกัน สิ่งที่ทำทั้งหมดยอมรับว่า อยากจะหาเงินมาชดใช้คืน แต่ไม่สามารถทำได้ จึงฝากขอโทษผู้ที่ตกเป็นเหยื่อด้วย

นศ.สาวซิ่งเก๋งชนต้นไม้ ไฟลุกท่วม หนีได้ทัน


เมื่อกลางดึกวานนี้ (21 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองแพร่ รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถเก๋งพุ่งชนต้นไม้ริมถนนแพร่-น่าน จนเกิดระเบิดไฟลุกไหม้ทั้งคัน จึงรุดไปตรวจสอบ ในที่เกิดเหตุ บนถนนสายแพร่-น่าน หลักกิโลเมตรที่ 141-142 ต.ทุ่งโฮ้ง อ.เมือง เจ้าหน้าที่นำรถดับเพลิงระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงที่กำลังลุกไหม้รถเก๋งทะเบียน กค 7549 แพร่ ในสภาพถูกไฟไหม้ลุกท่วมทั้งคัน


จากการสอบสวนทราบว่า รถเก๋งคันดังกล่าวเป็นของ น.ส.ชุติมา วงศ์มณี อายุ 21 ปี นักศึกษาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.แพร่ ซึ่งก่อนเกิดเหตุกำลังกลับบ้าน โดยขับรถมาด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเกิดเสียหลักชนต้นไม้ข้างทาง แต่ น.ส.ชุติมา ตั้งสติเปิดประตูหนีออกมาได้ทันก่อนที่รถจะระเบิดไฟลุกไหม้ รอดตายราวปาฏิหาริย์ และได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ซึ่งมีพลเมืองดีนำตัวส่งโรงพยาบาลไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง

ที่เติมลมล้มไฟรั่ว ดูดดร.หนุ่มตายคาปั๊ม


ไฟดูด"ดร.หนุ่ม"ดับคาปั๊มน้ำมัน อาจารย์หนุ่มประจำภาควิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีเคมีชีวภาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซิ่งวีออสเข้าปั๊ม ปตท.ริมถนนวิภาวดีรังสิตเดินกลับจากห้องน้ำ เกิดฝนตกลมกระโชกแรง หอบปั๊มเติมลมอัตโนมัติล้มคว่ำไฟรั่วช็อตดับคาที่ เด็กปั๊มวิ่งเข้าช่วยยื้อชีวิตแต่สายเกินไป ด้าน ตร.เผยยังไม่แจ้งข้อหารอสอบผู้เกี่ยวข้อง

เมื่อเวลา 17.40 น. วันที่ 21 ต.ค. ร.ต.ท.แผน สวาสดินา พงส. (สบ 1) สน. บางซื่อ ได้รับแจ้งมีคนถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิตภายใน ปั๊มน้ำมัน ปตท. ข้างกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ถนนวิภาวดี แขวงสามเสนใน เขตพญาไท จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู พบศพผู้เสียชีวิตเป็นชายอายุประมาณ 30-35 ปี สวมเสื้อเชิ้ตสีเหลืองทับเสื้อยืดสีขาวกางเกงผ้าขายาวสีดำ นอนหงายอยู่ในสภาพหน้าอกมีรอยเขียวช้ำ และมีรอยไหม้จากการถูกความร้อน บริเวณปั๊มเติมลมอัตโนมัติของปั๊ม โดยมีป้ายเหล็กบอกจุดป้ายเติมลมสูงประมาณ 150 ซม. ล้มอยู่ไม่ห่างมากนัก

ต่อมาทราบชื่อ ดร.รพีพงศ์ สุวรรณวรางกูร อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมและเทคโน โลยีเคมีชีวภาพ (BCET) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/441 หมู่ 9 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนท บุรี ใกล้กันพบรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กน 4998 นนทบุรี จอดอยู่ 1 คัน และมีสายเติมลมลากไปที่ล้อรถ

จากการสอบสวน นายพรพรหม แกนดำ เด็กปั๊ม ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นผู้ตายขับรถโตโยต้า คันดังกล่าว มาจอดอยู่ใกล้หัวจ่ายล้ม ซึ่งขณะนั้นปั๊มลมดังกล่าวยังไม่ล้มลงมาแต่ระหว่างผู้ตายเดินไปเข้าห้องน้ำ เกิดฝนตกและมีลมกระโชกอย่างแรงทำให้ปั๊มลมดังกล่าวล้มลงมากองอยู่กับพื้นที่มีน้ำเจิ่งนอง ต่อมาผู้ตายเดินกลับมาที่รถ หลังจากนั้นก็เห็นผู้ตายล้มลงกับพื้น คนในปั๊มที่เห็นเหตุการณ์พยายามจะเข้าไปช่วยแต่เห็นว่ามีกระแสไฟฟ้ารั่วออกมาจากบริเวณฐานของปั๊มลม จึงได้รีบวิ่งไปตัดไฟก่อนจะช่วยผู้ตายออกมาช่วยปั๊มหัวใจเพื่อช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ด้าน ร.ต.ท.แผน เปิดเผยว่า เบื้องต้นยังไม่แจ้งข้อหากับใคร เพราะอยู่ระหว่างเรียกผู้เกี่ยว ข้องมาสอบสวนว่าเกิดจากความประมาทของผู้ใด ส่วนผู้เสียชีวิตได้ส่งไปชันสูตรอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นคาดว่า น่าจะเกิดจากไฟดูด ซึ่งขณะนี้ก็พยายามติดต่อญาติผู้ตายให้ทราบ.

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บุกบ้านถล่ม 76 นัด ม่าย-ลูกสาวสาหัส

เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 20 ต.ค. พ.ต.ท.สมหมาย เยื่องศรีเมือง สารวัตรเวร สภ.เขาบางแกรก อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี รับแจ้งมีเหตุคนถูกยิงบาดเจ็บที่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 6 บ้านท่าชะอม ต.เขากวางทอง จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.ท.อารักษ์ อ่อนแย้ม สวญ. ตำรวจวิทยาการ และตำรวจชุดสืบสวนจำนวนหนึ่ง

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว พบกองเลือดกระจายทั่วพื้นบ้าน ฝาผนังมีรอยกระสุนหลายแห่ง กระจกหน้าต่างแตก พื้นข้างบ้านพบปลอกกระสุนขนาด 11 มม. ตกกระจายเกลื่อนกลาดนับได้ 76 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนผู้บาดเจ็บทราบว่าถูกนำส่ง รพ.อุทัยธานี ก่อนหน้าแล้ว 3 ราย ประกอบด้วย นางเครือมาศ เรืองเขตรกรณ์ อายุ 45 ปี เจ้าของบ้าน มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืน 11 มม. เข้าบริเวณแขนขวาและกลางหลังรวม 2 นัด อาการสาหัส น.ส.กาญจนา สุขสุวานนท์ อายุ 22 ปี ลูกสาวนางเครือมาศ มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนขนาดเดียวกันเข้าที่แขนขวา ราวนมขวาและก้นรวม 3 นัด ด.ช.ธีระพัฒน์ สุวรรณกิจกรณ์ อายุ 5 ขวบ หลานชายนางเครือมาศ ถูกเศษกระจกบาดบริเวณใบหูขวาบาดเจ็บเล็กน้อย

สอบสวนได้ความว่านางเครือมาศเลิกกับสามีมาประมาณ 2 ปี ยึดอาชีพรับซื้อเศษเครื่องเงินนำไปหลอมใหม่ส่งขายพ่อค้า เป็นคนมีฐานะดีคนหนึ่งในหมู่บ้าน ส่วน น.ส.กาญจนา ลูกสาวเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สถาบันมีชื่อแห่งหนึ่งใน กทม. เพิ่งกลับไปเยี่ยมบ้านได้เพียง 1 วัน ก่อนเกิดเหตุขณะที่ทุกคนนอนพักผ่อนอยู่ในบ้าน น.ส. กาญจนาตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงคล้ายคนเดินไปมาอยู่ ข้างบ้าน จึงแง้มประตูออกดูเห็นเงาคนร้าย 2 คน ยืนซุ่มอยู่ข้างหน้าต่าง ด้วยความตกใจร้องตะโกนขอความช่วยเหลือปรากฏว่า 1 ในคนร้ายได้เลื่อนบานหน้าต่างห้องนอนออกพร้อมใช้ไฟฉายส่องเข้าไปที่ น.ส.กาญจนา ก่อนจะกระหน่ำยิงเข้าใส่หลายสิบนัดได้รับบาดเจ็บ ระหว่างนั้นนางเครือมาศซึ่งนอนอยู่อีกห้องได้ยินเสียงปืน ลุกออกไปดูถูกยิงบาดเจ็บอีกคน จากนั้นคนร้ายระดมยิงเข้าใส่บ้านชนิดหูดับตับไหม้ ทำให้เศษกระจกกระเด็นถูก ด.ช.ธีระพัฒน์ บาดเจ็บเล็กน้อยแล้วหลบหนี เพื่อนบ้านช่วยเหลือนำผู้ บาดเจ็บส่ง รพ.พร้อมทั้งแจ้งให้ตำรวจทราบ

เบื้องต้นตำรวจมุ่งประเด็นไปที่เรื่องชู้สาว โดยทราบว่านางเครือมาศหลังตกพุ่มม่ายมีชายหนุ่มมาติดพันหลายคน ในจำนวนนี้มีทั้งข้าราชการครู และนักการเมืองท้องถิ่นรวมอยู่ด้วย เช่นเดียวกับ น.ส.กาญจนา ลูกสาวก็มีชายหนุ่มมาติดพันหลายคนเช่นกัน แต่ 2 แม่ลูกก็ไม่ยอมตกลงปลงใจกับผู้ชายคนใด อาจทำให้บรรดาชายหนุ่มที่มาติดพันคนใดคนหนึ่งเกิดความไม่พอใจบุกยิงหมายเอาชีวิต กับอีกประเด็นอาจเป็นไปได้ว่าคนร้ายประสงค์ต่อทรัพย์สิน แต่ขณะบุกไปที่บ้าน น.ส.กาญจนาตื่นขึ้นมาพบเห็นเสียก่อนตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ คนร้ายเกรง น.ส.กาญจนาจะจำหน้าได้ จึงกระหน่ำยิงหมายฆ่าปิดปาก ซึ่งตำรวจจะได้สืบหาตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป

นร.นานาชาติ ตกคอนโดดับ




เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 ต.ค. พ.ต.ท.นิกร แก้วเกิด พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.บางโพงพาง รับแจ้งมีผู้ตกจากที่สูงลงมาเสียชีวิต ภายในอาคารเบลล์ปาร์ค ทาวเวอร์ ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 24 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. จึงไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.กสิณ ศรีธรรมาสุข ผกก.สน.บางโพงพาง พ.ต.ท.กฤษณ์ แจ้งแสง สว.สส.สน.บางโพงพาง เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลจุฬาฯ และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง


ที่เกิดเหตุเป็นคอนโดมิเนียมหรู สูง 22 ชั้น บริเวณรั้วกำแพงข้างอาคาร พบร่างไร้วิญญาณของ ด.ช.นรินทร์ หรือ “น้องไนซ์” วงษ์มั่นคง อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นเกรด 9 โรงเรียนนิวสาทร อินเตอร์เนชั่นแนลสคูล พักอยู่กับครอบครัวที่ห้องเลขที่ 375/432 ชั้น 22 ของคอนโดมิเนียมดังกล่าว สภาพศพสวมชุดนอนสีฟ้าลายการ์ตูนอุลตร้าแมน นอนหงายอยู่กับพื้นหญ้า ข้อเท้าขวามีบาดแผลฉีกขาด กระดูกหักทั้งตัว ในกระเป๋าเสื้อมีเงินสด 1,000 บาท แพทย์สันนิษฐานเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 8-12 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังพบนาฬิกาข้อมือของผู้ตายตกห่างจากจุดที่พบศพประมาณ 2 เมตร จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ก่อนขึ้นไปตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมบนห้องพักผู้ตาย พบรอยเท้าเปล่าเหยียบอยู่บนตู้คอมเพรสเซอร์แอร์ ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ริมระเบียงหลังห้อง และพบกระถางต้นไม้ล้มอยู่กับพื้น 2 กระถาง

ต่อมานางนันท์นิกาย์ กีแบร์โต อายุ 37 ปี แม่ผู้ตายพร้อมกับนายฌองปิแอร์ อองรี ฟรองชัว กีแบร์โต พ่อเลี้ยง ทำงานเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง เดินทางมาดูที่เกิดเหตุ โดยนางนันท์นิกาย์เปิดเผยว่า ด.ช.นรินทร์เป็นลูกที่เกิดจากสามีเก่า ซึ่งเลิกรากันนานเกือบ 10 ปี โดยตนแต่งงานใหม่กับนายฌองปิแอร์ และย้ายมาอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนียมแห่งนี้ กระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ตนและนายฌองปิแอร์มีปัญหาต้องเลิกรากันอีก ตนย้ายไปเช่าห้องอยู่ย่านลาดพร้าวกับลูกชายคนเล็ก แต่ ด.ช.นรินทร์ยังพักอยู่ที่เดิม เพราะนอกจากจะใกล้โรงเรียนแล้ว ยังผูกพันกับนายฌองปิแอร์ พ่อเลี้ยงที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆด้วย ก่อนเกิดเหตุ ตนเพิ่งพาลูกชายไปเที่ยวที่หัวหิน และนำมาส่งเมื่อเย็นวันที่ 19 ต.ค. เพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น กระทั่งมีคนโทร.ไปบอกว่าลูกชายตกจากห้องพักเสียชีวิตแล้ว

“ปกติน้องไนซ์จะซุกซนตามประสาเด็กผู้ชาย ที่ผ่านมาไม่เคยเล่าปัญหาอะไรให้ฟัง มีแต่บอกว่าคุณพ่อขี้บ่น และไม่ยอมรับฟังเหตุผล ส่วนเรื่องผู้หญิงพอรู้ว่า มีคบกันบ้าง แต่น่าจะเป็นความรักกันแบบเด็กๆมากกว่า ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกต้องมาฆ่าตัวตายอย่างนี้” นางนันท์นิกาย์กล่าวทั้งน้ำตา

นายลำดวน เจนจบ รปภ.ดูแลความปลอดภัยภายในอาคาร กล่าวว่า ปกติผู้ตายเป็นคนเงียบขรึม แต่เห็นเพื่อนๆโรงเรียนเดียวกันแวะเวียนมาเล่นด้วยบ้างประมาณ 2-3 คน ก่อนหน้านี้ เคยเห็นผู้ตายเล่นหวาดเสียวด้วยการนั่งห้อยขาลงมาจากระเบียงลานจอดรถ ชั้นที่ 5 บ่อยครั้ง จึงเข้าไปตักเตือนว่าอย่าเล่นแบบนี้ อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างอาคารแล้ว แต่เนื่องจากช่วงที่ผู้ตายพลัดตกลงมาน่าจะเป็นเวลากลางคืน กล้องไม่สามารถบันทึกภาพไว้ได้

ด้าน พ.ต.ท.กฤษณ์ แจ้งแสง สว.สส.สน.บางโพงพาง เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าผู้ตาย กับนายฌองปิแอร์ พ่อเลี้ยงนอนแยกห้องกัน โดยนายฌองปิแอร์เดินทางไปทำงานช่วงเวลา 07.00 น. และ ไม่ทราบว่าลูกเลี้ยงพลัดตกลงไปเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ คาดว่าช่วงดึกที่ผ่านมา ผู้ตายน่าจะคึกคะนองปีนขึ้นไปนั่งเล่นที่ริมระเบียงแล้วพลัดตกลงมาเสียชีวิตเองมากกว่า อย่างไรก็ตาม จะต้องสอบสวนผู้ใกล้ชิดผู้ตายอีกครั้งว่าสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่

ฆ่าโหดสาวยัดกระเป๋า ทิ้งป่าละเมาะ



หอบไปทิ้งในป่าละเมาะซิปแตกตะลึงศีรษะโผล่

ฆาตกรรมอำมหิตฆ่าสาวนิรนามยัดกระเป๋าเดินทางทิ้งในป่าละเมาะเปลี่ยว เด็กเลี้ยงวัวมาเจอ เห็นศีรษะโผล่ออกมาทางช่องซิปที่แตกรีบเผ่นแจ้งตำรวจ พบเหยื่อเป็นหญิงอายุ 30 ปีเศษ สูงราว 160 ซม. ใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงผ้ายืดรัดรูปลายเสือ ติดกิ๊ปหนีบผมรูปหัวใจล้อมพลอยสีขาว เสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 3 วัน คาดน่าเป็นผู้หญิงตามร้านอาหารหรือในสถานบริการ ถูกฆ่ามาจากที่อื่น จากนั้นฆาตกรทมิฬนำศพยัดใส่กระเป๋าใบใหญ่ทิ้งป่าอำพรางคดี

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 20 ต.ค. พ.ต.ท.วิเชียร มีมุข สวส.สภ.ตลุกดู่ อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี รับแจ้งพบศพผู้เสียชีวิต ถูกฆาต กรรมเอาศพยัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ทิ้งในป่าละเมาะ บ้านสวนขวัญ หมู่ 13 ต.ตลุกดู่ จึงรายงานให้ พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง ผบช.ภ.6 พล.ต.ต.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ รอง ผบช.ภ.6 ไปตรวจสอบพร้อมด้วย แพทย์เวร จาก รพ.ทัพทัน และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยอุทัยธานี ที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่มีบ้านเรือนประชาชน พบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สีดำ 1 ใบ และมีศีรษะคนโผล่ออกมาทางซิปที่ปริกแตก

เจ้าหน้าที่จึงให้หน่วยกู้ภัยนำศพออกตรวจพิสูจน์ พบว่าผู้เสียชีวิตเป็นหญิงอายุราว 30 ปีเศษ สูงประมาณ 160 ซม. ที่ศีรษะติดกิ๊บติดผมรูปหัวใจ ล้อมด้วยพลอยสีขาว ใส่เสื้อยืดสีดำ เสื้อยกทรงสีดำ กางเกงผ้ายืดรัดรูปลายเสือ ในตัวไม่เจอหลักฐาน แสดงเป็นใครมาจากไหน สภาพศพเริ่มขึ้นอืด สิ่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว มีหนอนไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถตรวจหาบาดแผลหรือสาเหตุการตายได้ คาดเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 3 วัน จึงนำศพส่งสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ เพื่อผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการตายอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนจะเจอ ศพมีชาวบ้านนำวัวมาเลี้ยงที่ป่าละเมาะดังกล่าว ระหว่างนั้นมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยมา ประกอบกับวัวตื่นตกใจกลัวอะไรบางอย่าง จึงเดินค้นหาที่มาของกลิ่นเหม็น กระทั่งเจอกระเป๋าใบใหญ่ มีศีรษะคนโผล่ออกมา เพราะซิปกระเป๋าแตก จึงรีบแจ้งตำรวจทราบดังกล่าว เบื้องต้นสันนิษฐานว่า เหยื่อผู้เสียชีวิตน่าทำงานอยู่ในร้านอาหาร หรือตามสถานบริการ เพราะสังเกตจากการแต่งตัว โดยก่อนหน้านี้ เหยื่อถูกคนร้ายฆ่าตายมาจากที่อื่น จากนั้นนำศพยัดใส่กระเป๋าเดินทาง นำมาทิ้งในป่าอำพรางคดี กระทั่งศพเริ่มขึ้นอืด ทำให้ซิปกระเป๋าปริ จนศีรษะศพโผล่ออกมาเรียกร้องข้อความยุติธรรม ซึ่งจะสืบสวนต่อไปว่า ผู้เสียชีวิตเป็นใคร เพื่อจะติดตามจับกุมฆาตกรโหด รายนี้มาดำเนินคดีต่อไป.

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เด็กชาย10ขวบ พลัดตกจากคอนโดดับ

ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (20 ต.ค.) ว่า เกิดเหตุเด็กชายอายุประมาณ 10 ขวบ พลัดตกจากอาคาร 1 เบลล์พาร์ค เรสซิเด้นท์ คอนโดมิเนียม ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 24 ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ กรุงเทพฯ เสียชีวิต ในสภาพสวมชุดนอนลายการ์ตูน


เบื้องต้นทราบว่า ยังไม่มีผู้ใดแสดงตัวเป็นญาติของเด็กชายเคราะห์ร้าย โดยทราบเพียงว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอนโดฯ กำลังเดินตรวจสอบความเรียบร้อยตามปกติก็พบกับร่างของเด็กชายคนดังกล่าว โดยสันนิษฐานว่า น่าจะอาศัยอยู่ในคอนโดฯ

โรคจิตป่วนหอหญิง โทรชวนร่วมเพศทั้งวัน


กรี๊ด ! โรคจิตป่วนหอหญิง โทรชวนร่วมเพศ ครวญครางตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น หนักสุดถึงกับเปลื้องผ้าโชว์ของลับทุกวัน สาวด่ากลับยิ่งเข้าทาง หอพักจนปัญญาเหตุเป็นสายนอก ตร.ชี้เอาผิดได้แต่โทษน้อย แค่เตือนและปรับไม่กี่บาทก็ปล่อยตัวไป

ใครว่าอยู่หอพักจะปลอดภัยจากพวกโรคจิตบ้ากาม "เหมียว" พนักงานเอกชนสาววัย 27 ปี คงเถียงใจขาดดิ้น เพราะเธอต้องเผชิญปัญหาโทรศัพท์ก่อกวนชวนร่วมเพศ ส่งเสียงร้องครวญคราง หรือแม้กระทั่งเปลื้องผ้าโชว์ของลับอยู่แทบทุกวัน

"เหมียว" เป็นเด็กสาวจาก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เข้ามาเรียนและทำงานอยู่ใน กทม.ด้วยการเช่าหอพักอยู่ในซอยลาดพร้าว 88 ตามลำพังมานานกว่า 2 ปีแล้ว บางคืนอาจจะมีเพื่อนมาค้างด้วย แต่ไม่ว่าจะคืนไหนๆ เธอก็ได้รับโทรศัพท์ลึกลับจากชายนิรนามที่โทรเข้าเบอร์ห้องพักอยู่เป็นประจำทุกวัน หากเป็นโทรศัพท์สายปกติคงไม่เท่าไรนัก ยกเว้นสายนี้ที่เป็นพวกโรคจิตบ้ากาม ชวนคุยแต่เรื่องเซ็กส์ การมีเพศสัมพันธ์ ส่งเสียงร้องครวญคราง เหมือนคนกำลังมีเพศสัมพันธ์ หรือบางวันถึงกับเปิดซีดีลามกให้ฟังกันเลยทีเดียว

โทรศัพท์โรคจิตเจ้าปัญหารู้เวลาและตรงเวลาเหมือนนาฬิกาปลุก ทุกๆ เช้าตอน 7 โมงก็จะโทรเข้ามาเป็นสายแรก หลังจากนั้นบ่ายโมงก็โทรเข้ามาอีกครั้ง กรณีนี้จะเป็นช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก่อนจะหมดวันด้วยสายสุดท้ายตอน 5 ทุ่ม

หากว่าทั้งหมดที่กล่าวมาหนักหนาสร้างความเดือดร้อนรำคาญแล้ว สิ่งที่ "เหมียว" เจอยังมีหนักกว่านี้ถึงขั้นเปลื้องผ้าโชว์ของลับและสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองต่อหน้าเธอเลย ซึ่งเป็นอย่างนี้มาประมาณ 4 เดือนแล้ว

"หอเหมียวกับหอข้างๆ จะห่างกันไม่กี่เมตร และห้องของเหมียวก็ตรงกับห้องของผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตายังเด็กๆ อยู่เลย พอออกไปตากผ้าที่ระเบียงเขาเห็นเราก็ออกมา กำแพงระเบียงมันสูงเลยเอวขึ้นมา เขาก็เอาเก้าอี้มาวางแล้วก็ขึ้นไปยืนแก้ผ้าโชว์ของลับ จนต้องรีบกลับเข้าห้อง เป็นอย่างนี้แทบทุกครั้ง หรือไม่บางวันกลับจากทำงานดึกๆ หรือไปเที่ยวกลับมาพอเขาเห็นเราเปิดไฟก็ออกมานอกระเบียงยืนโชว์ของลับให้ดูอยู่อย่างนั้น"

แรกๆ หญิงสาวพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยการด่าตอบโต้กลับไปทุกครั้งที่รับโทรศัพท์ หวังจะให้พวกโรคจิตสำนึกแต่ไม่สำเร็จ นอกจากจะไม่เป็นผลแล้วยังทำให้ปลายสายรู้สึกสนุกและเห็นเป็นเรื่องขำๆ ยกหูโทรศัพท์ไว้นอกแป้นวางก็แล้ว ผ่านไปหลายวันวางกลับเข้าที่ก็โทรเข้ามาใหม่ แจ้งให้ผู้ดูแลหอพักช่วยตรวจสอบก็พบว่าเป็นสายนอกที่ต่อเข้ามา ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร

เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรเหมียวจึงปรึกษาเพื่อนว่าจะไปแจ้งความดีไหม เพื่อนแนะนำว่าเอาผิดยาก สุดท้ายเมื่อความอดทนมาถึงขีดจำกัดเลยใช้ไม้ตาย ด้วยการออกอุบายพาเพื่อนที่เป็นกะเทยหรือเกย์มาพักที่ห้องด้วย ตั้งใจจะแก้เผ็ดคนโรคจิต แต่โทรศัพท์โรคจิตก็ไม่มีเข้ามาและชายนิรนามชอบโชว์ก็ไม่โผล่มาให้เห็น เหมือนกับจะรู้ตัว กระทั่งเพื่อนกลับไปแล้วจึงเริ่มก่อกวนอีกครั้ง เมื่อเกิดความอิดหนาระอาใจมากๆ เข้าเธอจึงโพล่งออกไปอย่างประชดประชัน

"เดี๋ยวสิอย่าเพิ่งเสร็จ เอาไว้เสร็จพร้อมกัน"

ปรากฏว่าปลายสายรีบวางโทรศัพท์ทันที ครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายมีชัย แม้จะเป็นเพียงชัยชนะเล็กๆ แต่ก็มีความหมาย เพราะช่วยให้อีกฝ่ายหายไประยะหนึ่ง แม้ว่าต่อมาโทรศัพท์จิตป่วนจะหวนกลับมาเหมือนเดิมอีกก็ตาม

ในขณะที่ "ก้อย" นักศึกษาปี 3 สาขาการโรงแรม มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งก็ต้องประสบปัญหาไม่ต่างไปจากเหมียว เธอเช่าหอพักอยู่ย่านพัฒนาการ ทุกๆ เช้าและดึกๆ มักจะมีโทรศัพท์โรคจิตเข้ามาในห้องพักและบทสนทนาก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย โดยแรกๆ จะแกล้งทักชื่อแบบผิดๆ พอปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็เซ้าซี้ถามชื่อ ในที่สุดก็ต้องเอาหูโทรศัพท์ออกเพื่อตัดความรำคาญ

"เขาจะโทรมาบ่อยๆ ถามว่ามีแฟนหรือยัง มีแล้วใช่ไหม เคยมีอะไรกับแฟนใช่ไหม เขาแอบมองอยู่ อยากจะมีอะไรบ้าง พอได้ยินแบบนี้ก็รู้แล้วว่าเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ เลยวางหูไป"

นอกจากยกหูโทรศัพท์ทิ้งแล้ว ก้อยยังใช้วิธีด่ากลับด้วยอารมณ์โกรธ แต่เหมือนยิ่งทำให้พวกเขาชอบใจ ดังนั้น ทุกครั้งที่มีโทรศัพท์เข้ามาช่วงเช้าๆ หรือดึกๆ เธอจะสันนิษฐานเอาไว้ก่อนว่าเป็นโทรศัพท์โรคจิต ทางออกสุดท้ายที่ก้อยเลือกทำขณะนี้คือการถอดสายโทรศัพท์ห้องพักออกเลย เนื่องจากเธอเชื่อว่าน่าจะเป็นคนในหอพักที่เคยเห็นเธอ รู้ว่าพักอยู่คนเดียวหรือว่าอยู่กับใคร แต่แทนที่จะใช้เบอร์ต่อภายในก็ใช้มือถือโทรเข้ามาแทน หอพักเลยตรวจสอบไม่ได้

จากการพูดคุยกับชาวหอสาวๆ ทั้งหลายต่างก็ประสบพบเจอปัญหานี้กันถ้วนทั่ว เพียงแต่ว่าเจอมากเจอน้อยเท่านั้นเอง หรืออย่าง "ฮิลล์" สาวออฟฟิศวัย 28 ปี ที่แม้จะอยู่กับแฟนหนุ่ม และบ่อยครั้งที่ให้แฟนหนุ่มเป็นคนรับสายก็ยังไม่ช่วยให้โทรศัพท์โรคจิตหายไปได้ ปัญหาเหล่านี้สร้างความเดือดร้อนแก่สาวๆ ชาวหอไม่น้อย จากการสอบถามผู้ประกอบการหอพักย่านลาดพร้าว 88 และ 130 ยอมรับว่ามีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอยู่บ้างเหมือนกัน เคยแจ้งให้ตำรวจท้องที่ได้รับรู้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถหาตัวคนผิดได้ เพราะส่วนใหญ่ใช้สายนอกโทรเข้ามา จึงจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน

พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน ผกก.สน.หัวหมาก เปิดเผยว่า ในพื้นที่ สน.หัวหมาก มีหอพักอยู่จำนวนมากก็จริง แต่ที่ผ่านมาไม่มีผู้เสียหายหรือคนที่ได้รับความเดือดร้อนเข้ามาแจ้งความแม้แต่รายเดียว อย่างไรก็ตาม ความผิดลักษณะนี้หากจับกุมดำเนินคดีได้เพียงก่อความเดือดร้อนรำคาญ มีโทษแค่เตือนหรือปรับ ทางออกที่ดีสำหรับหญิงสาวที่เจอกับปัญหาอย่างนี้ควรตัดบทสนทนาไปเลย

ด้าน พ.ต.อ.สมประสงค์ เย็นท้วม ผกก.ศูนย์เทคโนโยลีสารสนเทศ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กล่าวว่า เคยได้ยินเรื่องลักษณะนี้มาบ้าง แต่เท่าที่ผ่านมายังไม่มีใครแจ้งความร้องทุกข์เข้ามา จึงอยากแนะนำว่าหากใครได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำเหมือนอย่างข้างต้น ให้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้

"ผู้เสียหายต้องไปแจ้งความ โดยแจ้งเบอร์ติดต่อของหอพัก วัน เวลาที่โทรศัพท์โรคจิตโทรมาเข้า เพื่อให้พนักงานสอบสวนขออนุญาตศาล แจ้งไปยังบริษัทที่ให้บริการคู่สัญญาณ ชี้แจงว่าในวันและเวลาดังกล่าวมีใครติดต่อเข้ามาบ้าง เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็จะเรียกผู้ต้องสงสัยเข้ามาให้ปากคำและดำเนินคดี" พ.ต.อ.สมประสงค์ กล่าว

นปช.เรียกระดมพลเข้ากทม. แตกหักพธม.-กดดันคดีแม้ว


ขู่เคลื่อนขบวนล้อมทำเนียบ ปิดช่องทางส่งเสบียง ตัดน้ำ-ไฟ ด้านพันธมิตรดาวกระจายไปหน้าเซ็นทรัลเวิลด์จันทร์นี้ ยันไม่ไป สตช.

กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เรียกระดมพลทั่วประเทศ เพื่อเคลื่อนขบวนเผชิญหน้า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปักหลักอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ขณะเดียวกันมีรายงานว่ากลุ่ม นปช.จะยกขบวนมากดดัน กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาในวันอังคารที่ 21 ตุลาคมนี้ ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลย ทั้งนี้มีรายงานว่าเป็นการระดมพลผ่านทาง ส.ส.พรรคพลังประชาชน อดีต ส.ส.ของพรรคไทยรักไทย และแกนนำ นปช.


นปช.นัดรวมตัวยื่น ผบ.ตร.ให้ปกป้องรัฐ

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข หนึ่งในแนวร่วม นปช. กล่าวว่า ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ เวลา 11.00 น. กลุ่ม นปช.จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียกร้องให้เป็นกำลังหลักปกป้องรักษารัฐบาลประชาธิปไตย ต่อต้านทหารที่จะออกมาก่อการรัฐประหาร และเร่งดำเนินคดีแกนนำพันธมิตร พร้อมกันนี้จะเดินทางไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะมีพระภิกษุจาก จ.สิงห์บุรี มาร่วมมอบผ้ายันต์คุ้มภัยให้แก่ตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย


ขู่ล้อมทำเนียบปิดช่องส่งเสบียงอาหาร

นายสมชัย ธนะวรรณ์ ผู้ประสานสมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย จะรอดูท่าทีและรอสัญญาณจากนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.ว่าจะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรเมื่อใด เนื่องจากการเดินทางไปมีค่าใช้จ่าย หากไปต้องมีเป้าหมายชัดเจน มิฉะนั้นจะเสียเวลาและสิ้นเปลืองเงิน เพราะการเดินทางไปกรุงเทพฯ แต่ละครั้งใช้เงินทุนส่วนตัว และช่วยกันแชร์จ่ายค่าน้ำมันหรือค่าเช่ารถเพื่อเดินทาง

นายสมชัย กล่าวว่า เป้าหมายการเดินทางไปกรุงเทพฯ ของสมาพันธ์ เพื่อต้องการไปกดดันพันธมิตรออกจากทำเนียบรัฐบาล และต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร โดยการกดดันพันธมิตรให้ออกจากทำเนียบรัฐบาลถือเป็นเป้าหมายสำคัญ

"ถ้ากลุ่ม นปช.มีกำลังถึง 1 แสนคน เราจะเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมทำเนียบ ไม่ให้กลุ่มพันธมิตรเข้าออก ตัดน้ำ ตัดไฟ และปิดช่องทางส่งเสบียงเข้าไป แต่จะไม่ใช้อาวุธหรือกำลังเข้าไปขับไล่พันธมิตร" นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวว่า สมาชิกของสมาพันธ์มีแกนนำ 24 คน และสมาชิกอีกกว่า 300 คน ทุกคนพร้อมจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อร่วมชุมนุมกับ นปช.และต้องการขับไล่พันธมิตรออกจากทำเนียบ


พธม.เตรียมดาวกระจายไปเซ็นทรัลเวิลด์

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และ นายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกันแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล โดย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า พันธมิตรมีมติที่จะไปแจกแผ่นวีซีดีและเอกสารเกี่ยวกับตำรวจฆ่าประชาชนอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 น. โดยจะรวมตัวกันที่บริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ จากนั้นจะเดินไปยังถนนวิทยุ เพราะการไปแจกเอกสารครั้งที่ผ่านมาพบว่าเอกสารที่เตรียมไปจำนวน 1 แสนชุด ไม่เพียงพอ คราวนี้เตรียมไปทั้งสิ้น 2 แสนชุด และได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหา มีหลักฐานชัดเจนมากขึ้นกว่าที่แจกในชุดที่แล้ว

ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่มีการเคลื่อนไปปิดล้อมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่จะไปย่านที่มีผู้คนมาก เพื่อให้ประชาชนได้รู้ความจริงและข้อเท็จจริงว่าความโหดเหี้ยมในการใช้อาวุธสงครามเข้าปราบปรามประชาชน เพราะเรื่องนี้ไม่ต้องไปพิสูจน์แล้วว่าเครื่องยิงแก๊สน้ำตาของจีน ของอเมริกา เป็นเรื่องเหลวไหล แต่จากการพิสูจน์ของตำรวจที่ชินสนามในภาคใต้ และแพทย์ก็ยืนยันชัดเจนว่าองค์ประกอบที่เป็นชิ้นเล็กๆ เขี่ยออกมาจากผู้ป่วย 10 กว่าคน คือสะเก็ดระเบิดของปืนเอ็ม 79 แน่นอน


พธม.เหนือระดมพลเข้ากรุงเทพฯ

นายสมเกียรติ โสภณพงษ์พิพัฒน์ แกนนำพันธมิตร จ.พิจิตร กล่าวว่า พันธมิตรภาคเหนือตอนล่างมีมติร่วมกันระดมสมาชิกเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรส่วนกลาง คาดว่าน่าจะมีพันธมิตรหลายหมื่นคนเดินทางเข้าไปชุมนุมสมทบที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ เพื่อกดดันรัฐบาลให้ออกมารับผิดชอบในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม การที่พันธมิตรลงไปสมทบกับพันธมิตรส่วนกลางที่ทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้เพื่อเตรียมรับมือกับแนวร่วมของกลุ่ม นปช.ที่ได้ระดมคนเข้ามาร่วมชุมนุมที่สนามหลวงในวันที่ 21 ตุลาคม เพื่อกดดันการตัดสินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดีที่ดินรัชดาฯ

"พวกเราไม่กลัวตาย หากการเรียกร้อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปทางที่ดี อีกทั้งขอเรียกร้องให้ทหารออกมาดูแลประชาชน" นายสมเกียรติ กล่าว

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แม่วัยเพียง19คลอด"แฝด3"รายที่2จ.อุทัยฯ


แม่วัยเพียง19คลอด"แฝด3"รายที่2จ.อุทัยฯ
ฮือฮาคุณแม่ยังสาวอายุเพียง 19 ปี คลอดลูกชายแฝดสาม ถือเป็นรายที่ 2 ของ “อุทัยธานี” เผยหนูน้อยแต่ละคนมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง หน้าตาน่ารักน่าชัง เป็นที่เอ็นดูของแพทย์-พยาบาล แถมบรรดาญาติคนไข้รายอื่น ๆ ทราบข่าวต่างพากันมาชมโฉมหน้าทารกน้อย บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้น มารดาวัยรุ่นสุดดีใจ ยันจะเลี้ยงดูลูกทุกคน ไม่ยอมยกให้ใครเด็ดขาด ยอมรับฐานะขัดสน หากใครช่วยเหลือเรื่องเงินก็ยินดี เปรยหมดสิทธิมีลูกอีก คุณหมอจัดการปิดอู่ให้เรียบร้อยแล้ว

ที่โรงพยาบาลอุทัยธานี วันที่ 18 ต.ค.ผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่า มีหญิงสาวอายุ 19 ปี ได้มาคลอดลูกที่ รพ.อุทัยธานี โดยได้ลูกแฝดครั้งเดียว 3 คนด้วยกัน รีบไปตรวจสอบที่ตึกสูตินรีเวชกรรม ชั้น 2 พบ นางสุรีรัตน์ ทับเสลา อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77 หมู่ 2 บ้านห้วยรัง ต.ระบำ อ.ลานสัก กำลังเลี้ยงลูกแฝดเพศชายทั้ง 3 อย่างทะนุถนอม โดยมีนายณัชพล ผ่องใส อายุ 28 ปี สามีอาชีพรับจ้าง ช่วยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ทั้งนี้ทารกทั้งสามมีหน้าตาละม้ายคล้ายกันมาก แต่ละคนมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง หน้าตาน่ารักน่าชังเป็นที่เอ็นดูของแพทย์ พยาบาลอย่างมาก อีกทั้งบรรดาญาติคนไข้รายอื่น ๆ เมื่อทราบข่าวต่างพากันมายืนดูหนูน้อยทั้งสาม บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข

ทั้งนี้หนูน้อยแต่ละคนมีชื่อว่า ด.ช. อัครพล คลอดคนแรก น้ำหนัก 2,700 กรัม คนที่สองชื่อ ด.ช.เอกรัตน์ น้ำหนัก 2,400 กรัม ส่วนแฝดคนสุดท้องชื่อ ด.ช.อรรถพร น้ำหนัก 2,300 กรัม แฝดทั้งสามลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 14 ต.ค. เวลา 15.35 น. ถือเป็นแฝดสามครั้งที่ 2 ของ จ.อุทัยธานี โดยหนูน้อยทั้งสามพ่อแม่และญาติ ๆ ช่วยดูแลอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากทารกน้อยสลับกันร้องสลับกันตื่นอยู่ตลอดเวลา จึงต้องช่วยผลัดเปลี่ยนกันอุ้ม

นางสุรีรัตน์ กล่าวอย่างมีความสุขว่า ตนแต่งงานอยู่กินกับสามีมาได้ 4 ปี ก่อนหน้านี้ได้คลอดลูกสาวตอนนี้อายุได้ 1 ขวบ ส่วนท้องที่สองตื่นเต้นมาก ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ลูกแฝด สาม ตอนแรกผิดสังเกตเรื่องท้องมีขนาดใหญ่มาก ไม่คิดว่าจะมีลูกแฝด จนใกล้ครบกำหนดคลอด สามีพามาที่ รพ.ลานสัก ต่อมาถูกส่งมาที่ รพ.อุทัยธานี แพทย์ช่วยผ่าตัดทำคลอดให้ พอลูกออกมาถึงกับงงที่ได้แฝดสามอย่างไรก็ตามดีใจมากที่ลูกทุกคนปลอดภัย ทั้งนี้ตนและสามีจะช่วยกันเลี้ยงดูลูกทุกคน จะไม่ยอมยกลูกให้ใครอย่างเด็ดขาด แต่ยอมรับว่าทางบ้านไม่ค่อยมีฐานะ หากใครต้องการช่วยเหลือเรื่องเงินก็ยินดี ทั้งนี้ตนคงมีลูกอีกไม่ได้แล้วเนื่องจากตัดสินใจให้หมอทำหมันเรียบร้อยแล้ว.

สล้าง ซึ้งรํ่าไห้ ตร.แห่ลาออก


"สล้าง"ซึ้งรํ่าไห้ ตร.แห่ลาออก
เพื่อทวงทำเนียบฯ 3ต้องสงสัยซุกปืน

“สล้าง” เชิญชวนชาวไทยแต่งชุดขาว ร่วมงาน “กู้วิกฤติชาติ” ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า 22 ต.ค.นี้ นิมนต์พระสงฆ์กว่าหมื่นรูปสวดเจริญพุทธมนต์ ระบุเพื่อลดความขัดแย้งในสังคม เผย “อดีตรองอ.ตร.” ถึงกับซึ้งใจร่ำไห้ รู้ข่าวจะมีตร.นับพันนายสมัครใจลาออก มาช่วยทวงคืนทำเนียบ ขณะที่ “บักใส” โต้อดีตบิ๊กสีกากี หวั่นใจเกิดปะทะนองเลือดอีก “มหาจำลอง” จวกยับนายกฯ เอาข้ออ้างงานสำคัญมาใช้เกาะเก้าอี้ ชี้ผลการสอบ “7 ตุลา” กก.สิทธิฯสรุปชัดแล้ว “เสธ.แดง” แฉหากเกิดปฏิวัติ กลุ่มนปก.เตรียมลุย ใช้ระเบิดเพลิงปาสู้รถถัง ส่วนตำรวจดุสิต รวบ 3 หนุ่ม ขับรถตรวจรอบทำเนียบ ปฏิเสธลั่นไม่เกี่ยวพันธมิตรฯ ทั้งที่ใส่ธงเหลือกู้ชาติ ล่าสุดออกหมายจับแล้ว มือขับปิกอัพไล่ทับตร.ปราบจลาจล ด้านม็อบมือตบสงขลา ตามราวี “รมช.คลัง” รู้ข่าวเข้ามาทำงานในพื้นที่ แห่ไล่ส่งถึงสนามบินหาดใหญ่ แกนนำพธม. 14 จว.ภาคใต้ ประกาศกร้าว ขู่ระดมพล 3 หมื่นบุกเข้ากรุง

ความเคลื่อนไหวกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังจากออกไปดาว กระจายป่วนเมืองที่บริเวณถนนสีลม เพื่อแจกจ่ายซีดีและหนังสือเหตุการณ์ “7 ตุลา” ระบุว่า ตร.ฆ่าประชาชน จากนั้นกลับมาปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบฯ ส่วนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ง ชาติ แถลงผลสรุปเบื้องต้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงวันที่ 7 ต.ค.ว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล ดังนั้นรัฐบาลในฐานะผู้สั่งการและสตช.ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งต้อง รับผิดชอบ ขณะที่ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนาย สนธิ ลิ้มทองกุล ข้อหาหมิ่นประมาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

รวบ3หนุ่มกู้ชาติพกอาวุธ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 01.45 น.วันที่ 18 ต.ค. ร.ต.ท.ทองเปลว หาญไพบูลย์ รอง สวป.สน.ดุสิต พร้อมกำลังสายตรวจตั้งด่าน ตรวจความเรียบร้อย บริเวณข้างสวนสัตว์ดุสิต ถนนราชวิถี แขวง-เขตดุสิต พบรถยนต์มิตซูบิชิ รุ่นจีวากอน สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน พห 5558 กรุงเทพมหานคร ขับผ่านมาจึงขอเข้าตรวจค้น พบ นายบุญมี ชัยเสถียรทรัพย์ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 210/19 ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงบางโคล่ เขตดินแดง เป็นคนขับ มีนายวิรัช โพธิ์สวัสดิ์ อายุ 46 ปี และนายศิวกรณ์ แววนกงาม อายุ 38 ปี นั่งมาในรถด้วยซึ่งทั้งสองคนใส่เสื้อสีดำ ชุดลายพรางทหาร และมีผ้าพันคอสีเหลืองของพันธมิตรฯ

จากการตรวจค้นภายในรถพบอาวุธปืนพกสั้นไทยประดิษฐ์ ขนาด .22 1 กระบอก และลูกกระสุนในแมกกาซีน 5 นัด ซุกซ่อนอยู่บริเวณใต้พื้นวางเท้าด้านหลังคนขับ นอกจากนั้นยังพบมีดพก 1 เล่ม หนังสติ๊ก 2 อัน ลูกกระสุนมีทั้งเป็นนอตเหล็ก หัวตะกั่ว และลูกแก้วจำนวนมาก กระบองเหล็ก 1 อัน หน้ากาก 2 อัน กระเป๋าเป้ 2 ใบ และบางคนมีผ้าพันคอสีเหลือง “กู้ชาติ” จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งสามคนมาสอบสวนที่โรงพัก

หิ้วตัวส่งฝากขังศาลทันควัน

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายศิวกรณ์ ที่พกบัตรสื่อมวลชน ออกโดยกรมประชาสัมพันธ์ อ้างว่าทำข่าวอาชญากรรมของหนังสือสื่อรัฐและทำหน้าที่เป็นการ์ดของกลุ่มพันธมิตรฯ ขับรถ ออกตระเวนรอบ ๆ ทำเนียบฯเพื่อรักษาความปลอดภัยตามปกติ แต่มาถูกเจ้าหน้าที่ขอเข้าตรวจค้น อย่างไรก็ดีภายหลังตำรวจเรียกไปสอบปากคำ ให้การว่าไม่ได้เป็นการ์ดพันธมิตรฯและไม่ยอมพูดอะไรอีก รวมทั้งปฏิเสธว่าอาวุธที่พบไม่ทราบว่าเป็นของใคร เบื้องต้นตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหาพกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นช่วงสายทางพนักงานสอบสวนนำทั้ง 3 คนส่งไปยื่นเรื่องขออำนาจศาลฝากขังที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ โดยญาติของนายศิวกรณ์ นำเงินสด 1.5 แสนบาทมายื่นขอประกันตัวออกไป ส่วนนายบุญมี และนายวิรัช ถูกส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

“มหา”ไล่บี้นายกฯออก

ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงท่าทีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯที่ประกาศไม่ลาออกและจะเดินหน้าทำงานต่อว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้เหนือความคาดหมายของพันธมิตรฯ และไม่ได้แปลกใจที่รัฐบาลจะอยู่เพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง ซึ่งพันธมิตรฯ ยังคงจุดยืนเดิมที่จะขับไล่รัฐบาลต่อไป โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงก็จะแจ้งให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้รับทราบ อย่างไรก็ตามการที่รัฐบาลบอกจะอยู่ต่อเพื่อต้องทำงานสำคัญอยู่ 3 เรื่องให้แล้วเสร็จนั้นถือเป็นข้ออ้างมากกว่า โดยหากนายกฯลาออกงานต่าง ๆ ก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะเป็นงานของข้าราชการประจำ ดังนั้นใครเข้ามาเป็นนายกฯก็สามารถทำงานต่อได้เลย

“ไม่เชื่อคุณสมชาย ลองลาออกดูว่า คนอื่นที่เข้ามาเป็นนายกฯจะทำได้หรือไม่ ถือ ว่าเป็นโชคไม่ดีของประเทศไทยที่มีรัฐบาลแบบนี้ เพราะหากเป็นประเทศอื่นรัฐบาลลาออกไปนานแล้ว ถือว่าเป็นการไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีจริย ธรรม” พล.ต.จำลองกล่าว

ผลสอบกก.สิทธิฯระบุชัด

พล.ต.จำลอง ยังกล่าวอีกว่า ระหว่างนี้พันธมิตรฯ จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวในการเพิ่มระดับความเข้มข้นในการกดดันรัฐบาล เพราะจะต้องมีการหารือประเมินสถานการณ์ระหว่างแกนนำก่อน ว่าจะไปกดดันที่ไหนในรูปแบบใด ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาว่านายกฯจะปลดผู้บัญชาการทหารบกนั้น ตนไม่ทราบกระแสข่าวดังกล่าวแต่เห็นว่านายกฯในฐานะที่เป็น รมว. กลาโหม ก็สามารถทำได้แต่ต้องดูว่ากล้าทำหรือไม่ซึ่ง ผบ.ทบ. เองก็ต้องยอมรับในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เชื่อว่าก่อนที่ทหารจะออกมาเรียกร้องให้นายกฯลาออกนั้นก็คงมีการคิดมาดีแล้ว และหากนายกฯยังไม่ลาออกก็คงมีวิธีอื่นที่คิดไว้แล้วเช่นกัน ทั้งนี้พันธมิตรฯคงไม่เข้าไปเรียกร้องให้ทหารออกมาดำเนินการใด ๆ เนื่องจากไม่เป็นประโยชน์ เพราะทหารเชื่อแต่ความคิดของตัวเองไม่เชื่อพันธมิตรฯ

เมื่อถามว่า นายกฯแถลงว่าให้รอผลสอบของคณะกรรมการอิสระสรุปออกมาก่อนว่าใครผิด พล.ต.จำลอง ตอบว่า ไม่จำเป็นต้องรอคณะกรรมการชุดดังกล่าวสรุปผลออกมา เพราะขณะนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้สรุปรายละเอียดเหตุสลายการชุมนุมแล้วว่าผิดเพราะอะไร ซึ่งรัฐบาลก็น่าจะรับผิดชอบได้แล้วไม่ใช่ไปรอคณะกรรมการชุดที่ตัวเองตั้ง อีกทั้งคณะกรรมการสิทธิฯก็มีความน่าเชื่อถือเรื่องของความเป็นกลาง

ไม่เห็นด้วยตั้ง“ส.ส.ร.3”

นอกจากนี้พล.ต.จำลอง ยังได้กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะตั้ง ส.ส.ร.3 เพื่อเป็นทางออก ของประเทศว่า ไม่เห็นด้วยกับการตั้ง ส.ส.ร.3 ที่ตั้งมาโดยรัฐบาลคิดว่าไม่ได้มีความเป็นอิสระ และเมื่อไม่เป็นอิสระก็ถือว่าไม่ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นกลางตามที่ประชาชนคาดหวัง ตนเชื่อว่าการตั้ง ส.ส.ร.3 จะไม่เป็นผลเนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการติดต่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้มาเป็นประธาน ส.ส.ร.3 แต่ก็ได้รับการปฏิเสธหมด อย่างไรก็ตามทางพันธมิตรฯจะยังรอดูไปก่อนว่า ส.ส.ร.3 จะเดินหน้าอย่างไร แล้วทางกลุ่มพันธมิตรฯค่อยมาหารือกันว่าจะแสดงท่าทีอย่างไร

ห้ามนำเข้าสื่อเครือมติชน

ส่วนบรรยากาศภายในทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ได้นำวีซีดีภาพเหตุการณ์ 7 ตุลา พร้อมด้วยหนังสือ ตำรวจฆ่าประชาชนอย่างละ 500 ชุดมาแจก ผู้ชุมนุมแต่ก็ไม่เพียงพอ แกนนำต้องสั่งให้ไปรีบนำมาเพิ่ม พร้อมนำตู้มาวางเพื่อรับบริจาค จำนวน 3 ตู้ ประกอบไปด้วย 1.ตู้รับบริจาคช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต 2.ตู้บริจาคแก่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และ3.ตู้บริจาคให้ทางเอเอสทีวี ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บริเวณประตูทางเข้าทำเนียบฯ ฝั่งสะพานอรทัย มีการนำป้ายเขียนข้อความว่า ห้ามนำหนังสือในเครือมติชนเข้ามาในสถานที่ชุมนุมอย่างเด็ดขาด

กก.สอบ“7ตุลา”ลุยทำงาน

ด้านนายปรีชา พานิชวงศ์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความคืบหน้าการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสรรหาบุคคลที่น่าเชื่อถือ มีคุณภาพเป็นอนุกรรมการ 5 คณะเพื่อช่วยตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงในแต่ละด้าน เนื่องจากคณะกรรมการชุดของตนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุจึงจำเป็นต้องมีอนุกรรมการแบ่งเบาภาระการทำงานซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะ แต่ยืนยันว่าจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ในการสอบสวนนั้นจะพยายามหาความจริงให้มาก โดยไม่ได้กะเกณฑ์ว่าต้องเป็นคนของฝ่ายไหน หากต้องมีการสอบสวนบุคคลจำนวนมากก็คงไม่สามารถทำให้แล้วเสร็จภายใน 20-30 วัน

โต้นายกฯกำหนดเวลาไม่ได้

เมื่อถามว่านายสมชาย นายกฯระบุว่าได้หารือกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯแล้วจึงเชื่อว่าภายใน 15 วันคณะกรรมการฯจะรายงานผลให้ทราบได้ นายปรีชา กล่าวว่า ระยะเวลาแค่ 15 วันจะเป็นไปได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้นายกฯไม่เคยมาหารือกับตน การทำงานของตนจะมากำหนดกรอบเวลาไม่ได้ เพราะการตรวจ สอบข้อเท็จจริงต้องทำอย่างรอบคอบและใช้เวลา การที่ตนรับเป็นประธานชุดนี้ก็เพราะอยากทำ ความจริงให้ปรากฏซึ่งใครก็มาสั่งไม่ได้ ยืนยันตนจะไม่เอาชื่อเสียงที่สั่งสมตลอดชีวิตมาเสียหายเพราะเรื่องนี้แน่นอน ทั้งนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 3 พ.ย.

ปชป.แฉคน“ระบอบทักษิณ”

ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกรรมการสอบสวนชุดนี้มีหลายคนที่อยู่ใน “ระบอบทักษิณ” อาทิ นายยุวรัตน์ กมลเวชช ที่เคยเป็นประธานบริษัท ไอบีซี. ซึ่งเคยเป็นคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จากนั้นนายยุวรัตน์ ก็มาเป็นกกต.ต่อมาได้เป็นที่ปรึกษาของนายทนง พิทยะ รมว.คลังในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และมาเป็นประธานคณะกรรม การศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ (ศปร.3) ชี้ให้เห็นว่านายยุวรัตน์ เป็นคนในระบอบทักษิณโดยแท้แล้วจะหาความเป็น กลางได้อย่างไร ถ้านายกฯต้องการปลดล็อกการเมืองเพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นควรตัดสินใจโดยเร็ว เพราะประเทศชาติไม่ควรมาเสียเวลา กับเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว

มือตบสงขลาไล่“ประดิษฐ์”

ด้านกลุ่มพันธมิตรฯสงขลา กว่า 100 คนพร้อมอุปกรณ์มือตบเดินทางไปรวมตัว ที่หน้าบ้านพักของ นายเจือ ราชสีห์ ส.ส.เขต 1 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ต.เกาะยอ อ.เมืองสงขลา เพื่อขับไล่ นาย ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง หลังจากที่ทราบข่าวว่านายประดิษฐ์ พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ จ.สงขลา ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 17 ต.ค. เข้าพักที่โรงแรมบีพีสมิหลาบีช โดยเดินทางไปปฏิบัติราชการตรวจสถานที่ก่อสร้างด่านศุลกากร อ.สะเดา และด่านศุลกากรบ้านประกอบ อ.นาทวี รวมทั้งจะเดินทางมารับประทานอาหารเที่ยงที่บ้านของนายเจือ ก่อนจะไปเป็นประธานในพิธีทอดกฐิน ที่วัดประตูชัย อ.สิงหนคร แต่เมื่อทราบว่ามีกลุ่มพันธมิตรฯมาชุมนุมขับไล่จึงยกเลิกกำหนดการ

ตามเล่นงานถึงสนามบิน

อย่างไรก็ดีพันธมิตรฯส่วนหนึ่งติดตามไปดักนายประดิษฐ์ ขณะเดินทางไปรอขึ้นเครื่องที่สนามบินหาดใหญ่ เที่ยวบิน TG 1234 หาดใหญ่-ดอนเมือง เวลา 16.15 น. แต่คลาดกันเล็กน้อยเพราะมีตำรวจมาพานายประดิษฐ์ ออกจากห้องรับรองพิเศษไปยังห้องรอขึ้นเครื่องก่อนแล้ว ส่วนผู้ที่ต้องเจอมือตบไล่กลับกลายเป็น พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หน.พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ที่เดินทางมาพร้อมคณะกำลังจะเดินไปยังห้องรอขึ้นเครื่องพอดี ทำให้พล.อ. เชษฐา ถึงกับตกใจเล็กน้อย

ระดมพธม.14จว.ใต้เข้ากรุง

นายสุนทร รักษ์รงค์ แกนนำพันธ มิตรฯ ชุมพร และผู้ประสานงานพันธมิตรฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เปิดเผยว่า พันธมิตรฯ 14 จังหวัดภาคใต้มีมติร่วมกันในการระดมสมาชิกจาก 14 จังหวัดภาคใต้เดินทางเข้าร่วมชุมนุม กับพันธมิตรฯ ส่วนกลางที่ทำเนียบรัฐบาลใน วันที่ 20 ต.ค.นี้ คาดว่าจะมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นคน วัตถุประสงค์ 3 ข้อคือ 1.เพื่อกดดันรัฐบาลให้รับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 ต.ค. 2.เพื่อรับมือกับ นปช.ที่ระดมพลเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวงในวันที่ 21 ต.ค. และ 3.เพื่อเรียกร้องให้กองทัพไทยประกาศให้ชัดเจนว่าจะยืนอยู่ข้างประชาชนที่ได้รับการปฏิบัติจากรัฐบาลอย่างไร้มนุษยธรรมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา

“สล้าง”ทำบุญกู้วิกฤติชาติ

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่ บช.น. พล.ต.อ. สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พร้อมผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ผู้ประสานงาน กลุ่มองค์กรชาวพุทธ และพระครูสังฆพินัย เลขานุการองค์กรชาวพุทธ และคณะได้เดินทางมาเปิดแถลงข่าวถึงเรื่อง ทางกลุ่มพลังกู้วิกฤติชาติ (กพช.) ร่วมกับองค์กรชาวพุทธจัดกิจกรรม การเจริญพระพุทธมนต์ “กู้วิกฤติชาติ” วันที่ 22 ต.ค. เวลา 13.00 น. ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า รูปแบบกิจกรรมนอกจากจะมีการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ทั่วประเทศจำนวน 1 หมื่นรูปแล้วยังมีการบรรยายธรรมเพื่อสร้างความสามัคคีในสังคมไทย พร้อมทั้งเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมงานให้แต่งกายชุดขาวมาได้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติ

ซึ้งใจตร.จะลาออกมาช่วย

พล.ต.อ.สล้าง กล่าวว่า สังคมของเราวันนี้เต็มไปด้วยความแตกแยก พระท่านก็เมตตาจะมาช่วยแก้ไขปัญหา อยากเชิญชวนพี่น้องมาร่วมงานกันมาก ๆ โดยไม่มีการแบ่งฝ่าย และ ยืนยันว่าเราจะจัดงานแค่ลานพระบรมรูปฯ เท่านั้นจะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปทำเนียบฯเด็ดขาด ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างแถลงข่าวช่วงท้าย พล.ต.อ.สล้าง ร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจบอกว่ามีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ขณะนี้มีตำรวจกว่า 1,000 นายสมัครใจพร้อมที่จะลาออกจากราชการเพื่อมาร่วมกู้วิกฤติชาติยึดทำเนียบรัฐบาลคืนมาให้พี่น้องชาวไทย และฝากถึงสื่อมวลชนเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วย ขณะนี้ตนได้เขียนพินัยกรรมให้ลูก ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อเตรียมกอบกู้วิกฤติชาติ

“เสธ.แดง”ปูดนปก.กล้าสู้รถถัง

ด้านพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุ 100.5 ถึงกระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหารของกองทัพว่า ที่ผ่านมาตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติถึง 3 ครั้ง ล่าสุดผบ.ทบ.และ ผบ.สส.ซึ่งเป็นเพื่อนของตน แต่งเครื่องแบบเต็มยศออกรายการทีวีซึ่งเหมือนกับการปฏิวัติ และทั้ง 4 คนที่แต่งเครื่องแบบออกมานั้นเป็นการกดดันรัฐบาลให้ลาออกเป็นการข่มขู่นายกฯ การกระทำเช่นนี้เขาคิดที่จะ “ปฏิวัติเงียบ” เพราะหากทำปฏิวัติที่โฉ่งฉ่างจะน่าเกลียด แต่นายกฯไม่กลัวเพราะเขาเป็น รมว.กลาโหมจึงไม่ลาออก และหากทหารออกมาปฏิวัติก็มีข่าวว่า กลุ่มเสื้อแดง นปก.ที่ไม่ชอบทหารเขาเตรียมพร้อมจะเผารถถัง โดยเอาน้ำมันเบนซินผสมโซลาใส่ขวดแล้วปาเข้าไป ซึ่งต่างประเทศเขาทำกัน แต่ประเทศไทยยังไม่เคยทำ

ไม่เลิกแผนทวงคืนทำเนียบ

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้ประชาชนมองทหารคิดจะปฏิวัติ ไม่ว่าจะรับใบสั่งใครมาก็ตามเพื่อไล่รัฐบาล ครั้งที่แล้วที่ทหารปฏิวัติมีคนมอบดอกไม้ให้ แต่ครั้งนี้ถ้าทหารปฏิวัติอีกครั้งประชาชนอาจวิ่งมาพร้อมขวดเบียร์ใส่ไฟและปาเข้าไปในรถถัง ส่วนแผนการยึดทำเนียบคืนนั้นยังคงใช้แผนเดิมคือ ใช้การปิดล้อม การตัดน้ำ ไฟ ใช้ลวดหนามล้อม 2 ชั้นตามถนน 7-8 ช่องทาง โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งตนจะยิงสายไฟ ระเบิดน้ำประปา ฉีดน้ำจากรถสุขาเข้าไป

นปช.เชียงใหม่หนุนช่วยรัฐ

ที่จ.เชียงใหม่ นายพรหมศักดิ์ แสนโพธิ์ ประธานสหพันธ์คนรากหญ้า จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มกรณีผู้นำเหล่าทัพออกมาพยายามบีบให้นายสมชาย นายกฯและรมว.กลาโหม ลาออกและยุบสภานั้น ทางกลุ่มขอให้กำลังใจและสนับสนุนให้นายกฯรวมไปถึงคณะ รัฐมนตรีทั้งหมดทำงานต่อไป แต่ขอประณามทหารการกระทำดังกล่าวทางกลุ่มถือว่าเป็นการใช้วาจาในการปฏิวัติซึ่งเป็นการกระทำไม่ถูกต้อง เราจะไม่ยอมให้ระบบทหารมามีอำนาจเหนือระบอบประชา ธิปไตยของพี่น้องประชาชน

ด้านนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ผู้ประสานงานรักเชียงใหม่ 51 หรือ นปช.เชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า ความคิดเห็นของแต่ละคนเป็นสิ่งที่คิดและพูดออกมาได้ แต่การแสดงตนในฐานะผู้นำทหารแล้วออกมาชี้นำประเทศเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ทางกลุ่มยังคงให้การสนับสนุนรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน และสนับสนุนตัวนายกฯ หากมีการปฏิวัติขึ้นมาทางกลุ่มจะรวมพลไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคนบุกกรุงเทพฯทวงประชาธิปไตยคืนทันที

ออกหมายจับขับรถไล่ชน ตร.

ด้านพ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก. สส.น.1 เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ได้นำหลักฐานภาพถ่ายและภาพบันทึกเทปวิดีโอ เหตุการณ์รถยนต์ปิกอัพโตโยต้า 4 ประตู ทะเบียน วพ 1968 กรุงเทพมหานคร ถอยทับและพุ่งเข้าชนกลุ่ม ตร.ปราบจลาจล บริเวณถนนราชวิถี ใกล้แยกอู่ทองใน เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายนาย เสนอต่อศาลอาญา เพื่อขออนุมัติหมายจับนายปรีชา ตรีจรูญ อายุ 51 ปี ข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ล่าสุดศาลอาญา มีความเห็นให้ออกหมายจับ เจ้าหน้าที่จึงไปติด ตามหาตัวนายปรีชา พบว่าได้รับบาดเจ็บถูกส่งไปรักษาตัวอยู่ที่ รพ.รามาธิบดี แต่ออกจากโรง พยาบาลไปแล้ว จึงได้ส่งสายสืบไปเฝ้าประกบตามที่ต่าง ๆ และบ้านพักแล้ว

ส่วนการติดตามตัวนายสุชาติ นาคบางไทร ผู้ต้องหาตามหมายจับ ในข้อหาดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ได้ส่งกำลังตำรวจทั้งชุดสืบสวน ไปเฝ้าที่บ้านพักและตามบ้านญาติแล้วแต่ยังไม่เจอตัว

“ใส”ชี้อดีต ตร.หวังนองเลือด

ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศการชุมนุมช่วงหัวค่ำ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สล้าง อดีต รอง อ.ตร. จะจัดทำบุญที่ลานพระบรมรูปทรงม้าว่า คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเผชิญหน้าและปะทะกัน ตนอยากถามกลับไปยัง พล.ต.อ.สล้าง ต้องการอะไรหรือต้องการที่จะให้ประชาชนเกิดการทะเลาะวิวาท เราในฐานะพันธมิตรฯก็มีสิทธิที่จะปกป้องชีวิตและทรัพย์สินมวลชนของพวกเรา เพราะต้องยอมรับว่าหากมาจัดงานบริเวณดังกล่าวก็คงเลี่ยงไม่พ้นอยู่แล้วที่จะเกิดการนองเลือด อีก ทั้งแกนนำก็ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะไปควบคุมฝูงชนนับหมื่นนับแสนได้ ดังนั้น พล.ต.อ.สล้าง อย่าพยายามสร้างเงื่อนไข เพราะภาพในขณะนี้ พล.ต.อ.สล้าง ก็เหมือนเป็นนอมินีให้มาปราบปรามประชาชน

เดินหน้าสร้างการเมืองใหม่

นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวหลังการประชุมสัมมนาเรื่อง “การเมืองใหม่” ครั้งที่ 5 ว่า ที่ประชุมข้อสรุปในเรื่องการศึกษาว่าการเมืองใหม่จะส่งเสริมให้เรียนฟรีตามความต้องการของประชาชน โดยเนื้อหาหลักสูตรนั้นจะเน้นที่การปลูกจิตสำนึกให้รักในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการศึกษาวิชาชีพที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น การเมือง ใหม่จะไม่มีการบรรจุครูใหม่แต่จะใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาอาชีพในท้องถิ่นเป็นผู้สอนแทน และยกระดับการศึกษาของโรงเรียนให้มีความเท่าเทียมกันทุกแห่งทั่วประเทศ ส่วนรัฐวิสาหกิจในการเมืองใหม่จะต้องยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ปี 42 พร้อมทั้งทวงคืนรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปไปก่อนหน้านี้ทั้ง ปตท.หรือ กสท และจะตั้งกระทรวงรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้พันธมิตรฯจะประชุมสัมมนาการเมืองใหม่เป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 22 ต.ค.

สื่อหาช่องยุติความรุนแรง

ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการจัดเวที ราชดำเนินเสวนาหัวข้อ “บทบาทสื่อกับการยุติความรุนแรง” โดยมีการเชิญบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และอดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย มาร่วมเสวนา เพื่อช่วยหาทางออกให้กับสังคมที่กำลังมีความแตกแยกอย่างน่ากลัว โดยมีการเสนอให้สื่อมีส่วนร่วมช่วยกันรับผิดชอบต่อสังคม แม้จะถูกบีบคั้นอย่างไรก็ต้องปลดแอกจากความกลัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรงได้ ที่สำคัญการยุติความรุนแรง คือ ต้องเสนอข่าวรอบด้านเป็นกลางสมดุล เปิดพื้นที่ข่าวให้พลังเงียบได้มีโอกาสเข้ามานำเสนอเพื่อคัดค้านการใช้ความรุนแรง

นอกจากนี้ยังมีการเสนอนำสื่อค่าย ต่าง ๆ มารวมกันเพื่อให้เกิดการพบปะพูดคุย ให้เกิดสติ ใช้ความคิดร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนแก้วิกฤติแทนที่จะใช้อารมณ์ ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเสนอข่าวรอบด้าน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้แสดงข้อเท็จจริง การเสนอ ความจริง คือ หลักสำคัญ ถ้ารายงานความจริงให้สังคมตัดสินเป็นทางออกที่ดีที่สุด.

เครียดนํ้าหนัก"กินยา"ลดอ้วนสยองคาบ้าน!


เครียดนํ้าหนัก"กินยา"ลดอ้วนสยองคาบ้าน!
หนุ่มใหญ่เครียดน้ำหนักเกิน เลยไปซื้อยาลดความอ้วนมากิน ทั้งที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว แถมยังสูบบุหรี่จัด พี่สาวกับพี่เขยโทรมาหาไม่ยอมรับ เลยมาดูที่บ้าน พบกลายเป็นศพในห้องนอน ข้างตัวมีเศษก้นบุหรี่เกลื่อน และถุงยาลดความอ้วนเพียบ คาดคงกินยาลดความอ้วนมากเกินไป ประกอบกับเป็นโรคหัวใจและสูบบุหรี่จัด เลยช็อกดับอนาถ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ต.ค. พ.ต.ท.ชัยยา แร่เพชร สวส.สภ.เมืองสุพรรณบุรี รับแจ้งมีชายนอนเสียชีวิต ภายในบ้านเลขที่ 199/ 101 หมู่บ้านรวยยิ่ง หมู่ 4 ต.รั้วใหญ่ รุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์เวรจาก รพ.ศูนย์เจ้าพระยายมราช และมูลนิธิเสมอกัน ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ภายในห้องนอนพบศพนายสนธยา นิพิธกุล อายุ 43 ปี กึ่งนั่งกึ่งนอนหลังพิงฝาผนังบนเตียงนอน ตามร่างกายไม่มีบาดแผลถูกทำร้าย คาดเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง ข้างศพพบซองบุหรี่ ก้นบุหรี่จำนวนมาก และถุงยาลดความอ้วนคลินิกแห่งหนึ่ง จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนทราบว่า นายสนธยามีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ ต้องไปตรวจหัวใจที่ รพ.ศูนย์เจ้าพระยายมราช เป็นประจำ แถมยังสูบบุหรี่จัดอีกด้วย สุดท้ายเครียดเรื่องรูปร่างของตัวเอง ที่ขณะนี้เริ่มอ้วนคุมน้ำหนักไม่ได้ เพราะนายสนธยาเป็นคนรักสวยรักงาม จึงไปซื้อยาลดความอ้วนที่คลินิกมากิน และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปหาหมอตรวจหัวใจ ที่ รพ.ศูนย์เจ้าพระยายมราช โดยแพทย์พบว่าหัวใจเต้นผิดปกติจึงให้ยามากิน สำหรับนายสนธยาไม่มีงานทำ เพราะต้องคอยดูแลพี่สาว ที่มีอาการทางประสาท ส่วนค่าใช้จ่ายภายในบ้านมีพี่สาวกับพี่เขยที่อยู่ จ.นนทบุรี คอยดูแลช่วยเหลือ

กระทั่งก่อนจะเจอศพ พี่เขยกับพี่สาวที่ จ.นนทบุรี โทรศัพท์มาหาแต่ไม่มีใครรับสาย ด้วยความสงสัยเลยมาดูที่บ้าน พบว่าประตูบ้านปิดสนิทตะโกนเรียกเท่าไรไม่มีใครขานรับ จึงใช้กุญแจสำรองไขเข้าไป เจอแต่พี่สาวที่ปัญญาอ่อนอยู่ในบ้านตามลำพัง จากนั้นเข้าไปดูในห้องนอน เห็นนายสนธยาเป็นศพเสียแล้ว เบื้องต้นคาดว่า นายสนธยาคงกินยาลดความอ้วนมากเกินไป ทั้งที่ตัวเองเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ประกอบกับสูบบุหรี่จัด เลยทำให้ช็อกหัวใจวายเฉียบพลันเสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งจะส่งศพไปตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป.

หมอเทวดา ตื้บเหยื่อ2ศพ แฉทำพิธีไล่ผี

แฉทำพิธีกรรมอ้างรักษาโรคก่อนลงมือไล่ผี

สุดโหดสองพี่น้องวัยดึก อ้างตัวเป็น “หมอเทวดา” รักษาโรคหายเป็นปลิดทิ้ง ผลกระทืบตาย 2 ศพ เผยทำพิธีกรรมรักษาผู้ป่วยซึ่งเป็นศรีภรรยาของหมอทั้งคู่ จัดเครี่องเซ่นสังเวยอย่างดี ก่อนลงมือไล่ผี เพี้ยนหนักเปิดฉากกระทืบเมียตัวเองจนสลบเหมือด แถมใช้ด้ามไม้กวาดหวดซ้ำ ลูกสาวเห็นวิ่งมาห้ามโดนหางเลขจนต้องหนีไปให้ชาวบ้านช่วย สุดท้ายกลับมาพบร่างแม่กับอาสะใภ้กลายเป็นศพไปแล้ว แพทย์ระบุ ไล่จนตับ-ม้ามแตก ตร.แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่งตัวเข้าไปรักษาต่อในคุก

เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 18 ต.ค. พ.ต.ท.บรรจบ สีหานาวี สวส.สภ.น้ำโสม จ.อุดร ธานี รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย ที่บ้านพักครูโรงเรียนนางัว หมู่ 2 ต.นางัว รีบไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.วีระวัฒน์ สระบัว ผกก. แพทย์และมูลนิธิสว่างเมธาธรรมสาขาน้ำโสม ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกสูงในห้องน้ำพบศพนางสมบูรณ์ แข็งแรง อายุ 60 ปี ส่วนที่บันไดขึ้นบ้านพบ ศพนางลอง แข็งแรง อายุ 53 ปี น้องสาวนางสมบูรณ์ สภาพศพทั้ง 2 ไม่ต่างกันโดยตามร่างกายมีบาดแผลถูกตีด้วยไม้แตกจนเลือดไหลซึมออกมา มีร่องรอยฟกช้ำไปทั่วตัว เลือดทะลักออกทางจมูกและปาก

ใกล้บันไดหน้าห้องน้ำมีแคร่ไม้ไผ่ตั้งอยู่ มีเครื่องเซ่น ดอกไม้ธูปเทียน โดยมีกองไฟก่อไว้เพื่อให้แสงสว่าง พบชาย 2 คน ทราบชื่อว่า นายชัยยุทธ แข็งแรง อายุ 58 ปี สามีนางลอง สวมเสื้อผ้าชุดขาว ใส่สร้อยคอลูกประคำ อีกคนคือนายคำบอง แข็งแรง อายุ 62 ปี พี่ชายนายชัยยุทธ สามีนางสมบูรณ์ ทั้งคู่นั่งประนมมือทำพิธีทางไสยศาสตร์อยู่หน้ากองไฟ นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 1 คนคือ น.ส.นัฐยา แข็งแรง อายุ 28 ปี ลูกสาวนายคำบอง เป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลนางัว ตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ พลเมืองดีนำส่ง รพ. ไปก่อนหน้า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คุมตัวนายชัยยุทธและนาย คำบอง ไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพัก

จากการสอบสวน น.ส.นัฐยา ให้การด้วยน้ำตานองหน้าว่า ก่อนเกิดเหตุนายชัยยุทธ ซึ่งเป็นอาอ้างว่าเป็นร่างทรง “หมอเทวดา” สามารถ รักษาผู้ป่วย ได้ขับรถกระบะพานางลองออกจากบ้านมุ่งหน้าไปรับนายคำบอง พ่อตนที่อ้างเหมือนกันว่าเป็นร่างทรงหลวงปู่ท่านหนึ่ง มุ่งหน้ามาที่บ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านพักของตนอาศัยอยู่กับแม่ เมื่อมาถึงทั้งพ่อและอาบอกว่าจะทำพิธีทางไสยศาสตร์รักษาแม่และนางลองซึ่งป่วยเป็นโรคความดันและโรคเบาหวาน แต่ทั้งสองกลับบอก ว่าป่วยเพราะถูกปิศาจเข้าสิงต้องทำพิธีไล่ผี ตอนแรกตนก็งงเหมือนกันแต่ไม่กล้าขัด

ผู้เสียหายกล่าวอีกว่า หลังจากนั้นพ่อกับอาสั่งให้นางสมบูรณ์และแม่นอนลงก่อนจะใช้ไม้ก้านมะพร้าวตี พร้อมทั้งขึ้นไปบนร่างกระทืบ เพื่อไล่ผี แม่ทนไม่ไหวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทั้งสองก็บอกว่าผีไม่ยอมออกจึงใช้ด้ามไม้ กวาดตีซ้ำ กระทืบซ้ำจนแม่สลบ จากนั้นก็หันมาทำแบบเดียวกันกับนางลอง อาสะใภ้จนสลบไปอีกคน ตนทนไม่ไหวจึงเข้าไปห้าม กลับถูกพ่อและอาใช้ไม้ทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ จึงตัดสินใจหนีออกมาเรียกคนช่วย กระทั่งมาทราบว่าพ่อกับอาได้ช่วยกันลากเหยื่อเข้าไปในห้องน้ำ ใช้น้ำราดเพื่อให้ฟื้น โดยไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตไปเสียแล้ว ทั้งนี้แพทย์ระบุสาเหตุที่ทั้งคู่เสียชีวิตเนื่องจากตับและม้ามแตก เพราะโดนกระทืบและโดนตีอย่างรุนแรง เบื้องต้นแจ้งข้อหาหมอเทวดาสองพี่น้องร่วมกันฆ่าคนตายโดยเจตนา คุมตัวเข้าห้องขังดำเนินคดีต่อไป.