วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ถล่มระเบิด ยายหลาน เสียชีวิต 1ราย

ถล่มระเบิด ยายหลาน เสียชีวิต 1ราย บาดเจ็บ2 [30 ธ.ค. 51 - 02:58]

เมื่อเวลา 01.30 น. คืนวันที่ 29 ธ.ค. พ.ต.ท.ประเวช อุไรพันธ์ สารวัตรเวร สภ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี รับแจ้งมีเหตุระเบิดภายในบ้านเลขที่ 101 หมู่ 5 ต.บางผึ้ง อ.บ้านหมี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.วารินทร์ ทองตรา ผกก. พ.ต.ท.สุรวุฒิ แสงรุ่งเรือง รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.อุดมศักดิ์ เข็มทอง รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.พีรพล เจริญเดช สว.สส. นำกำลังรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุอยู่ริมถนนในหมู่บ้าน สภาพปลูกเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ยกใต้ถุนสูงทำเป็นที่จอดรถ โดยจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากรั้วบ้านเข้าไปประมาณ 15 เมตร พบหลุมระเบิดรวม 2 หลุม ขนาดกว้าง 25 ซม. ลึก 20 ซม. โดยหลุมระเบิดทั้ง 2 จุด อยู่ห่างกันประมาณ 30 ซม. มีเศษกระเดื่องนิรภัยของระเบิดสังหารบุคคลแบบเอ็ม 26 ตกอยู่ 2 อัน สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนพุ่งทะลุพื้นไม้ตรงห้องนอนแตกเป็นรูโหว่ สะเก็ดระเบิดบางส่วนปลิวทะลุขึ้นไปถึงหลังคาสังกะสีด้านบน มีผู้บาดเจ็บรวม 3 ราย ซึ่งนอนรวมกันอยู่ในห้องเกิดเหตุ ทางญาติๆที่มีบ้านอยู่ ติดกันช่วยนำส่ง รพ.บ้านหมี่ไปก่อนหน้าแล้ว

นอกจากนี้ สะเก็ดระเบิดยังทำให้รถกระบะโตโยต้า ทะเบียน นข 958 สิงห์บุรี ที่จอดอยู่ใต้ถุนบ้านเสียหายบริเวณตัวถังด้านขวาทั้งแถบ ยางล้อรถฝั่งขวาระเบิดแตกทั้งล้อหน้าล้อหลัง ขณะเดียวกัน ก็พบห่วงนิรภัยของระเบิดเอ็ม 26 ถูกโยนทิ้งไว้บริเวณหน้าประตูทางเข้าบ้านที่เกิดเหตุ จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะตามไปตรวจสอบอาการของผู้บาดเจ็บที่ รพ.บ้านหมี่ ปรากฏว่า มีผู้บาดเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อนางทองใบ เข็มเหลือง อายุ 46 ปี เจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าตามตัวและร่างกายเป็นแผลเหวอะหวะนับสิบแห่ง ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย เป็นหลานของผู้ตาย ทราบชื่อ ด.ญ.ศิริวิมล เข็มเหลือง อายุ 3 ขวบ และ ด.ช.วรายุทธ เข็มเหลือง อายุ 2 ขวบ ที่นอนอยู่ด้วยกัน บาดเจ็บบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง แพทย์ช่วยเหลือจนอาการปลอดภัย

จากการสอบสวนทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีผู้ตายพักอยู่กับหลานทั้ง 2 คนเพียงลำพัง ส่วนมารดาของเด็กและญาติคนอื่นๆปลูกบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่อยู่กันคนละหลัง สำหรับผู้ตายเคยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง แต่หลังจากบุตรสาวคลอดลูกก็เลิกอาชีพดังกล่าวกลับมาอยู่บ้านเลี้ยงหลานทั้ง 2 คนแทน ก่อนเกิดเหตุได้พาหลานทั้ง 2 คน เข้านอนตามปกติ จนกระทั่งมีเสียงระเบิดดังขึ้นก่อน 1 ลูก ทิ้งห่างประมาณ 1 นาที ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นลูกที่สอง บรรดาญาติๆที่อยู่บ้านข้างเคียงรีบวิ่งเข้าไปดู พบร่างนางทองใบนอนจมกองเลือดอยู่บนที่นอน ส่วนหลานอีก 2 คนบาดเจ็บ จึงลำเลียงส่ง รพ.บ้านหมี่ แต่นางทองใบทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตดังกล่าว

ต่อมาเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.ต.สถิต ต้นสงวน ผบก.ภ.จ.ลพบุรี พ.ต.อ.สมิทธิ มุกดาสนิท รอง ผบก. พร้อมเจ้าหน้าที่วิทยาการ จ.ลพบุรี เดินทางไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุอีกครั้ง และเดินทางไปเยี่ยมอาการของ ด.ญ.ศิริวิมล และ ด.ช.วรายุทธ เข็มเหลือง ที่ รพ.บ้านหมี่ ก่อนจะเปิดเผยว่า คนร้ายน่าจะเป็นคนคุ้นเคยกันและรู้ว่าผู้ตายนอนอยู่ตรงจุดไหนของบ้าน ลอบปาระเบิดสังหารแบบเอ็ม 26 เข้าไปถล่มถึง 2 ลูก ตรงจุดที่ผู้ตายนอนอยู่ ทำให้โดนสะเก็ดระเบิดเข้าอย่างจังจนเสียชีวิตดังกล่าว ส่วนปมสังหารน่าจะมาจากเรื่องโกรธแค้นส่วนตัวระหว่างผู้ตายกับญาติห่างๆคนหนึ่ง ซึ่งมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงถึงขั้นมีการขู่อาฆาตกันไว้ หลังเกิดเหตุผู้ต้องสงสัยรายนี้ก็หายตัวไป อยู่ระหว่างติดตามล่าตัวมาสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แบงก์พัน-ห้าร้อย ปลอม ระบาดหนัก


เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. นายนพพร ประโมจนีย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย สายออกบัตรธนาคาร เปิดเผยว่า ใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอย จึงขอเตือนให้ระมัดระวังธนบัตรปลอมที่คนร้ายจะสอดแทรกปะปนกับธนบัตรจริงในการซื้อสินค้าและบริการ เนื่องจากมีการจับและพบธนบัตรปลอมเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย. 11 เดือนแรกของปี 2551 พบธนบัตรปลอมทั้งสิ้น 18,895 ฉบับ เทียบกับทั้งปีของปี 2550 มีเพียง 10,819 ฉบับ สูงขึ้นถึง 8,076 ฉบับหรือ 74.65%หากคิดเป็นมูลค่า 11 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ามียอดธนบัตรปลอม 12.3 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีแค่ 6.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5 ล้านบาท หรือ 80.8% และธนบัตรปลอมที่พบทั้งหมดเป็นราคา 1000 บาท มากที่สุด 11,158 ฉบับ ต้องยอมรับว่าเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี จำนวนมิจฉาชีพที่นำธนบัตรปลอมมาใช้ก็มีมากขึ้นกว่าในปี 2551 ดังนั้น ปีหน้าประชาชนควรจะระมัดระวังการรับจ่ายธนบัตร โดยหาความรู้และตรวจสอบธนบัตรให้มากขึ้น

ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามให้ความรู้กับประชาชนเพื่อให้ทราบวิธีตรวจธนบัตรปลอม โดยเฉพาะนักเรียน ครู และแคชเชียร์ตามร้านค้า สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ http://www.bot.or.th/ หรือสอบถามได้ที่โทรศัพท์ 0-2356-8666 สำหรับวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นนั้น ธนบัตรจริงจะต้องมีลายเส้นนูนที่คำว่า “รัฐบาลไทย” เมื่อสัมผัสปลายนิ้วจะรู้สึกสะดุดกับหมึกพิมพ์ และเมื่อยกส่องกับแสงสว่างบริเวณพื้นที่ว่างด้านขวาธนบัตรจะเห็นลายน้ำพระบรมสาทิสลักษณ์อยู่ในกระดาษอย่างชัดเจน และประดับด้วยรูปลายไทยขนาดเล็กที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษ นอกจากนั้น ธนบัตรชนิดราคา 100 บาท 500 บาท และ 1000 บาท จะมีแถบฟอยล์สีเงินแนบเป็นเนื้อเดียวกับกระดาษตามแนวตั้ง เห็นชนิดราคา และสีเป็นหลายมิติเมื่อพลิกเอียง

ด้านการสำรองธนบัตรช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีวันหยุดติดต่อกัน 5 วันนั้น นายนพพรบอกว่า สำรองเงินสดและการเบิกจ่ายเงินสดให้กับธนาคารพาณิชย์ 180,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 50,000 ล้านบาท และได้เตรียมธนบัตรสำรองชนิดราคาต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการเบิกจ่ายเงินที่มากกว่าปกติไว้อีก 330,000 ล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นว่าประชาชนจะสามารถกดเอทีเอ็มได้โดยไม่มีปัญหาเงินหมดตู้อย่างแน่นอน

ขณะเดียวกัน มีการทลายแหล่งผลิตแบงก์ปลอมโดยเมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 17 ธ.ค. พล.ต.ต.อุดม จำปาจันทร์ ผบก.ภ.จ.สกลนคร พ.ต.อ.วันชัย สุริยศรี รอง ผบก. พ.ต.ท. พยุงศักดิ์ นามวรรณ รอง ผกก.หน.กลุ่มงานสืบสวน ภ.จ. สกลนคร พ.ต.ท.วิเชียร ไชยศร สว.กลุ่มงานสืบสวนฯ พ.ต.ท.สมนึก มิควาฬ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองสกลนคร ร่วมกับ พ.ต.ต.ไมตรี เทพล สว.สป.สภ.เมืองสกลนคร ทำหน้าที่ หน.สภ.ย่อยท่าแร่ ตรวจค้นบ้านชั้นเดียว ไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่หมู่ 8 ต.ท่าแร่ อ.เมืองสกลนคร ทั้งนี้ เนื่องจากสงสัยว่าเป็นแหล่งผลิตธนบัตรปลอมพบนายวัชรินทร์ ประศรี อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 254 หมู่ 4 ต.นาหว้า อ.นาหว้า จ.นครพนม คร่ำเคร่งทำธนบัตรปลอมอยู่ในบ้านเพียงลำพัง เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ ตำรวจถึงกับหน้าถอดสี จากการตรวจค้นพบอุปกรณ์หลายรายการ เช่น เครื่องปรินเตอร์สี 1 เครื่อง สีและบล็อกสกรีน 3 ชุด กระดาษถ่ายเอกสาร 4 รีม กระดาษลายน้ำติดแถบธนบัตร กาวติดกระดาษหลายชนิด

นอกจากนี้ มีธนบัตรไทยปลอมฉบับละ 500 บาท 268 ใบ เป็นเงิน 134,000 บาท ธนบัตรไทยปลอมฉบับละ 1 พันบาท 16 ใบ เป็นเงิน 16,000 บาท ธนบัตรลาว ฉบับละ 50,000 กีบ 635 ใบ เป็นเงิน 31,750,000 กีบ คิดเป็นมูลค่าเงินไทย 114,300 บาท และธนบัตรปลอมรอการสกรีนลายและยังไม่ได้ตัดอีกจำนวนมาก และยังมีธนบัตรจริงฉบับละ 500 บาท 2 ใบ ฉบับละ 1 พันบาท 2 ใบ ธนบัตรลาวฉบับละ 50,000 กีบ 1 ใบ เพื่อใช้เป็นต้นฉบับ

สำหรับธนบัตรปลอมฉบับละ 500 บาท มีเลขธนบัตรหมวด 0 ธ ๗๗๓๑๗๘๑ ด้านล่าง 0 A 7731781 ธนบัตรปลอมฉบับละ 500 บาท หมวด ๑ ค ๗๓๐๙๓๙๖ ด้านล่าง 1 C 7309396 ส่วนธนบัตรปลอมฉบับละ 1000 บาท หมวดและหมายเลข ๕ จ ๙๒๓๙๗๗๐ ด้านล่าง 5 E 9239770 และอีกฉบับเลข ๔ ท ๓๕๗๙๔๙๗ ส่วนด้านล้าง 4 H 3579497 ทั้งหมดลักษณะคล้ายของจริงมาก จึงนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางดำเนินคดีที่ สภ.เมืองสกลนคร ข้อหาผลิตและปลอมซึ่งเงินตราหรือธนบัตรปลอม โดยผิดกฎหมาย

พล.ต.ต.อุดม จำปาจันทร์ ผบก.ภ.จ.สกลนคร กล่าวว่า กลุ่มงานสืบสวนตำรวจภูธรภาค 1 จับคนนำธนบัตรปลอมมาใช้ในพื้นที่ จ.นนทบุรี และได้ประสานงานขอข้อมูลการสืบสวนเพื่อหาแหล่งผลิตที่ ต.ท่าแร่ อ.เมืองสกลนคร จึงส่งชุดสืบสวนไปตรวจสอบจนทราบว่าบ้านดังกล่าวมีนายวัชรินทร์เช่าอยู่ตามลำพัง มีพฤติการณ์น่าสงสัย ไม่ ทำงานแต่มีเงินใช้ไม่ขาดมือ จึงขอหมายศาลเข้าค้น

ก่อนหน้านี้นายวัชรินทร์เคยถูกจับเมื่อปี 2543 กระทำผิดในลักษณะเดียวกัน เมื่อพ้นโทษออกมายังมีพฤติกรรมเช่นเดิม ย้ายจาก อ.นาหว้า จ.นครพนม มาเช่าบ้านอยู่คนเดียวที่หมู่ 8 ต.ท่าแร่ อ.เมืองสกลนคร ได้ประมาณ 3 ปี และยังมีหมายจับของศาลจังหวัดนนทบุรีและ จ.นครพนม ผู้จัดการธนาคารหลายแห่งขอทราบข้อมูล โดยเฉพาะหมวดและหมายเลขของธนบัตรและขอภาพธนบัตรปลอมไปติดประกาศไว้ให้ประชาชนทราบ

สอบสวนนายวัชรินทร์ให้การว่า ให้นักศึกษาที่จบด้านคอมพิวเตอร์สอนเรื่องเทคโนโลยีและการใช้เครื่องมือ โดยนักศึกษาที่สอนก็ไม่รู้ว่าจะเอาความรู้มาใช้ในทางที่ผิด วิธีการคือจะนำธนบัตรจริงสแกนเข้าเครื่องปรินเตอร์แล้วพิมพ์ออกมาก่อนจะสกรีนบางส่วนเพิ่มลงไปแล้วติดลายน้ำเป็นอันเสร็จสิ้นขบวนการซึ่งทำคล้ายของจริงมาก

ส่วนอุปกรณ์ต่างๆสารภาพว่าเอามาจาก อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม การผลิตจะขึ้นอยู่กับลูกค้าสั่ง โดยขายในอัตราธนบัตรปลอมราคา 1 แสนบาท ขายราคา 5 พันบาท ทำได้ วันละ 100 ฉบับ ล่าสุดมีลูกค้าซึ่งเป็นพ่อค้าวัวจากฝั่งลาวนำวัวมาขายที่ตลาดนัดวัวควายสั่งไว้เพื่อจะนำไปใช้ที่ลาว แต่ยังทำไม่เสร็จมาโดนจับก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ สอบสวนขยายผลปราบปรามต่อไป

มีรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตรัง จับเด็กชายวัย 14 ปี ใช้ธนบัตรปลอมฉบับละ 1 พันบาทซื้อเบียร์ที่ร้านขายของชำที่ ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง สอบสวนให้การสารภาพว่า เพื่อนให้มา จึงลองนำไปใช้ แต่เจ้าของร้าน ซึ่งเป็นตำรวจสังเกตเห็นความผิดปกติจึงจับกุมดำเนินคดี

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ประท้วง"ดิ อิโคโนมิสต์"บิดเบือนสถาบันเบื้องสูง

ประท้วง"ดิ อิโคโนมิสต์"บิดเบือนสถาบันเบื้องสูง


กระทรวงต่างประเทศ ทำหนังสือประท้วงอย่างจริงจัง "ดิ อิโคโนมิสต์" ลงบทความเกี่ยวกับสถาบันบิดเบือนความจริง อัดผิดหวังมุมมอง-ไม่คำนึงภูมิหลังไทย ย้ำทรงวางพระองค์เป็นกลาง


นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ มีหนังสือถึงบรรณาธิการนิตรสาร ดิ อิโคโนมิสต์ ว่า รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งต่อมุมมองและทัศนคติของนิตยสารฉบับดังกล่าว ซึ่งลงบทความเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทย และตีความเหตุการณ์ต่างๆ ไปตามการคาดเดา โดยไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง รวมถึงไม่คำนึงว่าประเทศไทยมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ และยังมีความผูกพันระหว่างประชาชน กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่หยั่งรากลึกมายาวนาน และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางพระองค์ตามบทบาทที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทรงวางพระองค์เป็นกลางทางการเมือง ทรงเข้าแทรกแซงทางการเมืองน้อยมาก และถ้ามีการแทรกแซงก็เป็นไปเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์นองเลือดในหมู่คนไทย เช่น ในปี 2535 โดยไม่ได้ทรงเข้าข้างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กลุ่มการเมืองต่างๆ และนักวิเคราะห์ มักดึงพระองค์เข้าไปเกี่ยวข้อง


ก่อนการแทรกแซงโดยทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ระบบการเมืองไทยวุ่นวายจนเกือบหยุดชะงัก มีเสียงเรียกร้องให้มีรัฐบาลพระราชทาน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธ พร้อมกับมีพระราชกระแสว่าปัญหาต่างๆ ต้องแก้ไขด้วยกระบวนการประชาธิปไตย

คนไทยมีความรักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสมัครใจ จากการได้เห็นพระองค์ท่านทรงเสียสละ และทรงงานหนักมาตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อความสุขของปวงชนชาวไทย

กระนั้นก็ดี มีบุคคลบางกลุ่มพยายามกล่าวอ้างว่า ได้รับการสนับสนุนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือตีความเข้าข้างตัวเอง ซึ่งอันที่จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเมื่อปี 2548 ว่า พระองค์ไม่ได้อยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่ฐานะของพระองค์ที่อยู่เหนือกฎหมายทำให้พระองค์ไม่สามารถตอบโต้ข้อกล่าวอ้างทางการเมืองหรือข้อกล่าวหาใดๆ แต่ประเทศไทยมีกฎหมายปกป้องพระมหากษัตริย์

นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง นั่นคือ ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ที่มีการบังคับใช้กฎหมายโดยสมาชิกรัฐสภา ซึ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามาเป็นตัวแทน

ในการละเลยข้อเท็จจริงและตรรกะง่ายๆ เช่นนี้ บทความในนิตยสาร ดิ อิโคโนมิสต์ ถือเป็นการกล่าวหาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างผิดๆ และสร้างความโกรธเคืองในหมู่ชาวไทย ดังนั้นจึงต้องมีการประท้วงอย่างจริงจังที่สุด

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ปลาคาร์พมงคล



เมืองไทยประกาศศักดาความเป็นผู้นำด้านอัญมณีของโลก เปิดตัวผลงานชิ้นเอกหนึ่งเดียวของโลก “ปลาคาร์พมงคล” ประดับบุษราคัมกว่า 5,400 กะรัต ครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อช่วงสายวันที่ 8 ธ.ค. นายอดิศักดิ์ ถาวรวิริยะนันท์ นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี เปิดเผยว่า ทางสมาคมและสมาชิกรวมถึงผู้ประกอบกิจการอัญมณี ร่วมกันจัดงาน “เปิดโลกอัญมณีและของดีเมืองจันท์ ครั้งที่ 5” ขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 ธ.ค.นี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี โรงแรมเคพีแกรนด์ อ.เมืองจันทบุรี โดยเรียนเชิญนายพูลศักดิ์ ประณุทนรพาล ผวจ.จันทบุรี เป็นประธานเปิดงาน มีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ ชื่อเสียงความเป็นแหล่งพลอยสวยของประเทศไทย ผลงาน

การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับจนเป็นที่รู้จักของทั่วโลก โดยร้อยละ 80 ของอัญมณีไทยที่ส่งออกไปยังตลาดโลก ล้วนเจียระไนมาจากฝีมือช่างไทยใน จ.จันทบุรี สร้างรายได้จากการส่งออกปีละนับแสนล้านบาท โดยปัจจุบัน จ.จันทบุรี เป็นศูนย์กลางการซื้อขายพลอยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับผลงานชิ้นเอกที่จะมาร่วมจัดแสดงในงานดังกล่าว คือ “อัญมณีแห่งสายน้ำ ปลาคาร์พมงคล” จัดสร้างและผลิตโดยร้านธัญมณี จันทบุรี ของนางสุภาพร นิยมกิจ เป็นผลงานที่รังสรรค์ผ่านแนวความคิดของนายชายพงษ์ นิยมกิจ วัย 29 ปี บุตรชายของนางสุภาพร โดยยึด “ปลาคาร์พ” (Fancy Carp) สายพันธุ์สีเหลืองทอง หรือสายพันธุ์ “Ogon” มาใช้เป็นต้นแบบ ตามความเชื่อของคนเอเชียที่ว่า ปลาคาร์พเป็นปลาที่กล้าหาญไม่ท้อถอยและมีอายุยืนคือ 60-100 ปี ถือเป็นตัวแทนของความสำเร็จ ความพยายาม โชคลาภ และอายุยืนยาว ด้วยความที่มีหลากหลายสีของเกล็ดและสายพันธุ์ ทำให้ ปลาคาร์พได้ชื่อว่าเป็น “อัญมณีแห่งสายน้ำ”

นางสุภาพรกล่าวต่อไปว่า ในส่วนของปลาคาร์พที่จัดสร้างขึ้น เริ่มต้นถอดแบบทุกสัดส่วนจากปลาคาร์พจริงมีความยาว 40 ซม. เส้นรอบวงลำตัว 40 ซม. ใช้โลหะเงินชนิด 92.5 เปอร์เซ็นต์ มาขึ้นโครงสร้างหลักทั้งส่วนหัว เกล็ดปลาจำนวน 990 เกล็ด ครีบหลัง ครีบหาง ครีบใต้ท้อง ตลอดจนโครงสร้างของลำตัวที่ถักทอเป็นตาข่ายเงิน ใช้โลหะเงินหนักถึง 2.6 กก. จากนั้นก็เริ่มประดับพลอยบุษราคัมลงบนเกล็ดปลาทั้ง 990 เกล็ด โดยใช้บุษราคัมขนาด 4.0-10 มม. แบบกลมเหลี่ยมเพชรจำนวนกว่า 100,000 เม็ดมาคัดไซส์และสี จนเหลือเพียง 37,999 เม็ด รวม 5,499 กะรัต เพื่อใช้ประดับลงบนเกล็ดและลำตัวของปลาคาร์พมงคล

“ปลาคาร์พตัวนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ เพราะต้องใช้ความพยายามและความอุตสาหะอย่างสูงของช่างไทย เนื่องจากต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการไล่สีและขนาดของบุษราคัมประกอบเกล็ดปลาซึ่งมีขนาดแตกต่างกันไปในแต่ละส่วน ก่อนจะนำชิ้นส่วนทั้งหมดไปชุบทองไมครอนหนา 5 ไมครอน โดยเริ่มต้นทำงานชิ้นนี้ช่วงเดือน ก.ย. 50 เพิ่งจะมาเสร็จสมบูรณ์เมื่อต้นเดือน ธ.ค.นี้ รวมระยะเวลาการประดิษฐ์ผลงานถึง 1 ปี 3 เดือน มีน้ำหนักรวมแล้วกว่า 5 กก. โดยตัวปลาคาร์พมงคลจะมีสีเหลืองอร่าม ตั้งวางอยู่บนฐานทำจากเงินชุบทองไมครอน ซึ่งสีเหลืองทองนี้เป็นสีมงคลยิ่งของปวงชนชาวไทย ด้วยเป็นสีประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นสีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง เป็นผลงานที่ผลิตขึ้นเพียงชิ้นเดียวในโลก จุดเด่นสำคัญอีกแห่งคือตาของปลาคาร์พมงคลจะประดับด้วย “ทับทิมสยาม” อัญมณีเลื่องชื่อของไทย ราคาที่ตั้งไว้ในขณะนี้คือ 3 ล้านบาท” นางสุภาพรสรุป

ด้านนายภูเก็ต คุณประภากรณ์ ประธานคณะกรรมการจัดงานกล่าวเสริมว่า นอกจาก “อัญมณีแห่งสายน้ำ ปลาคาร์พมงคล” แล้ว ภายในงานยังนำผลงานชิ้นเด่นๆมาจัดแสดง เช่น “ทับทิมสยามหนัก 18 กะรัต” ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านบาท สร้อยสังวาลสาย ประดับพลอยเขียวแสงส่อง ซึ่งเป็นพลอยใต้ดินจันท์แท้ “มาลัยจันทบูร” มาลัยสีทองตลอดทั้งสายใช้บุษราคัมและเพชรกว่า 127 กะรัต และ “มณีบุศรา” ที่ใช้พลอยบุษราคัมมารังสรรค์เป็นเครื่องประดับสุดล้ำค่า ซึ่งทุกท่านจะหาชมได้จากภายในงานนี้เท่านั้น

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ในหลวง เสด็จฯพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณ และสวนสนาม


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ ลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า เพื่อทรงตรวจพลสวนสนามในพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2551


ในหลวง ย้ำทหารต้องเป็นที่ศรัทธาของปชช.


สำนักพระราชวังออกหมายกำหนดเสด็จฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 5 ธันวาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ณ ลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า เพื่อทรงตรวจพลสวนสนามในพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2551 เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 2 ธันวาคม

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พระจันทร์ยิ้ม ดาวเคียงเดือน หาดูยาก


พระจันทร์ยิ้ม ปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. วันนี้(1ธ.ค.) ได้เกิดปรากฎการณ์ดาราศาสตร์สวยงามบนท้องฟ้าในช่วงหัวค่ำ ซึ่งนักดาราศาสตร์เรียกว่า “ดาวเคียงเดือน” สามารถสังเกตเห็นได้ทั่วกทม.และในต่างจังหวัดที่มีท้องฟ้าเปิด

โดยปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือน เป็นปรากฎการณ์ที่สามารถมองเห็นดาวเคราะห์สว่างสุกใส 2 ดวง คือดาวศุกร์ และดาวพฤหัสบดี พร้อมกับดวงจันทร์เสี้ยวมาปรากฎอยู่ใกล้กันทางทิศตะวันตกเฉียงใต้หลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ซึ่งเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเราสามารถมองเห็นเป็นลักษณะเหมือนพระจันทร์ยิ้ม

น.ส.ประพีร์ วิราพร นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย เปิดเผยว่า ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้เห็นเหมือนรูปพระจันทร์ยิ้ม แต่ทางดาราศาสตร์เรียกว่า ปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือน โดยข้างล่างเป็นดวงจันทร์ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 1 ข้างบนดวงที่สว่างสุดเป็นดาวศุกร์ ส่วนดวงที่สว่างน้อยกว่าเป็นดาวพฤหัส

สำหรับในปีนี้มีความพิเศษกว่าหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เพราะปกติปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือนจะมีดาวที่มาเคียงดวงจันทร์แค่ดวงเดียว ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นดาวศุกร์หรือดาวพฤหัส ส่วนปรากฏการณ์ที่ดาวสองดวงมาเคียงเดือนนั้น ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยาก และสามารถดูได้เพียงวันที่ 1 ธ.ค.51 นี้เท่านั้น นับตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกจนถึงเวลาประมาณ 20.30 น. สำหรับในวันพรุ่งนี้(2ธ.ค.) พระจันทร์จะอยู่สูงกว่าดวงดาว 12 องศา ซึ่งจะเห็นเป็นรูปพระจันทร์หน้าบึ้งกลับหัว

“ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ดาวพฤหัส ดาวศุกร์และดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งดาวพฤหัสจะใช้เวลาในการเปลี่ยนราศีปีละ 1 ราศี และใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ทั้งหมด 12 ปี ทำให้โอกาสของดาว 2 ดวงและพระจันทร์โคจรมาอยู่บนราศีเดียวกันเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลานับ 10 ปี ซึ่งปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นไปตามระบบสุริยะ แต่เป็นเรื่องยากที่จะได้พบเห็น และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตนเองมีโอกาสได้เห็น ดาว 2 ดวงเคียงเดือน เพราะในอนาคตยังไม่แน่ใจว่าหากเกิดปรากฎการณ์แบบนี้ขึ้น ท้องฟ้าจะเป็นใจให้สามารถมองเห็นได้เหมือนครั้งนี้หรือไม่” น.ส.ประพีร์ กล่าว

น.ส.ประพีร์ กล่าวต่อว่า ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนนี้เป็นเหมือนหน้าพระจันทร์ยิ้มบนท้องฟ้ามองลงมา ซึ่งอาจเปรียบได้ว่าอาจจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นหลังจากที่บ้านเมืองวุ่นวายมานาน

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สนธิ ป้อง ASTV ลั่นสู้ตาย!!


สนธิ ประกาศลั่น พร้อมสู้ตาย -ยิงตอบโต้ หาก ตำรวจบุกเข้ายึด ASTV แฉลั่น ทักษิณ สั่งการที่ฮ่องกง ด้านศรัณยูนำการ์ดพันธมิตรฯกดดันตำรวจ สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ร้อง พธม.ยุติยึดสนามบิน ลั่นเป็นการประท้วงที่ ไม่เหมาะสม อย่างยิ่ง


นายสนธิ ลิ้มทองกุลนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้วว่า พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะทำการปิดสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ขอยืนยันว่า พันธมิตรฯ เตรียมพร้อมไว้แล้ว โดยจะรักษาฐานที่มั่นให้ดีที่สุดและยอมตายเพื่อบ้านเมือง ขอให้ผู้ชุมนุมดูแลทำเนียบรัฐบาลและสนามบินสุวรรณภูมิให้ดีที่สุด

นายสนธิ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คอยบังคับบัญชาเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาที่เกาะฮ่องกง ทั้งที่การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ การบุกสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเข้ามาในสถานี เราก็ต้องยิงสวนออกไป ถ้าตายก็ต้องตาย

"ศรัณยู"นำการ์ดพันธมิตรฯกดดันตำรวจ

สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 11.00 น. นายศิริชัย ไม้งาม และนายศรัณยู วงษ์กระจ่าง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ รุ่นที่ 2 พร้อมอาสาสมัครจำนวนหนึ่งใช้รถบรรทุก 6 ล้อ ติดเครื่องขยายเสียงออกตรวจตราอาคารทุกหลังบริเวณโดยรอบ อาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจหาตำรวจที่วางกำลังรักษาการอยู่

นายศรัณยู เปิดเผยว่า การตรวจดังกล่าวเพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุม เป็นการวนรถยนต์ตรวจรอบนอกอาคารทั้งหมด แต่ไม่ได้เข้าไปภายใน จากที่ตรวจสอบจากภายนอกอาคารไม่พบเห็นตำรวจแต่อย่างใด จากนั้นเมื่อรถบรรทุกเครื่องขยายเสียงไปถึงหน้าโรงแรมโนโวเทลได้ประกาศเตือนว่า "หากเรารู้ว่าโรงแรมโนโวเทลให้ที่พักพิงกับใคร ในคืนวันนี้ (29 พ.ย.) เราจะกลับมาเยี่ยม ในส่วนของความเคลื่อนไหวภายในอาคารผู้โดยสาร

เรือตรีแซมดินเลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม ได้นำการ์ดพันธมิตรเดินตรวจตราพื้นที่ทุกชั้นภายในอาคารผู้โดยสาร โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามทำข่าวหรือบันทึกภาพ

ต่อมาโฆษกบนเวทีปราศรัยได้ประกาศให้การ์ดพันธมิตรอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ทหารอากาศ ซึ่งจะเข้ามาภายในอาคารผู้โดยสารเพื่อรับคณะผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมไปขึ้นเครื่องบิน C 130 เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์

จากนั้น นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง พร้อมนายอมร อมรรัตนานนท์ ประกาศบนเวทีว่า พวกตนได้การ์ดพันธมิตรจำนวนมาก ช่วยเจรจากดดันให้ตำรวจยอมปลดอาวุธและเครื่องกระสุนและให้ทิ้งรถยนต์ ให้เดินออกจากจุดที่ตรึงกำลังไว้กลับไปยังจุดที่ตั้ง ขณะนี้ถนนทุกสายสามารถใช้การได้ปกติแล้ว ขอให้ประชาชนเดินทางมาร่วมชุมนุมกันให้มากๆ

ด้านนายแสงธรรม ชุนชฎาธาร บุตรชายของนางมาลีรัตน์ แก้วก่า แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ประกาศเรียกร้องให้นักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศหยุดเรียนมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯที่สุวรรณภูมิ ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดสิทธิสอบหากโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาใด มีครูอาจารย์เสื้อแดง ขอให้เแจ้งมาพันธมิตรฯจะไปจัดการให้

พธม.จากโคราชแห่เข้ากรุงสมทบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้า วันนี้ (29 พ.ย.) ที่บริเวณถนนชุมพลหลังอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้มีเครือข่ายพันธมิตรฯ นครราชสีมา นับร้อยคนเดินทางมาขึ้นรถตู้โดยสารที่ทางพันธมิตรฯ จัดไว้ให้เพื่อเข้าไปสมทบกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังทราบข่าวจากทางเอเอสทีวีว่าตำรวจได้ทำการปิดล้อมกลุ่มผู้ชุมนุมเอาไว้โดยไม่ให้มีการเข้า-ออกและส่งเสบียงเข้าไปสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่ภายในอาคารสนามบิน

นายสุพจน์ พิริยะเกียรติสกุล ผู้ประสานงานด้านสวัสดิการและยานพาหนะพันธมิตรฯ นครราชสีมา กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า มีเครือข่ายพันธมิตรฯ นครราชสีมา ได้แจ้งความจำนงเพื่อจะเดินทางไปร่วมชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากจนรถตู้โดยสารไม่เพียงพอ ตนเองจึงแก้ปัญหาด้วยการออกตั๋วรถทัวร์ให้ไปขึ้นรถทัวร์สายนครราชสีมา-กทม.แทน แล้วค่อยต่อรถไปยังสนามบินสุวรรณภูมิหรือลงที่สนามบินดอนเมือง จากนั้นพันธมิตรฯ จะนำรถไปส่งที่สุวรรณภูมิต่อไป ส่วนสาเหตุที่รถตู้ไม่พอเพราะส่วนใหญ่ถูกเช่าเหมาไปในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่ จ.สกลนคร

สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ร้อง พธม.ยุติยึดสนามบิน ลั่นเป็นการประท้วงที่"ไม่เหมาะสม"อย่างยิ่ง

รักษาการรองโฆษกกระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์ระบุ การที่พันธมิตรฯ เข้ายึดสนามบินถือเป็นการประท้วงที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ขอให้เคลื่อนออกอย่างสงบ หวังวิกฤตไทยจะจบลงภายใต้หลักกฎหมาย

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายกอร์ดอน ดูกิด รักษาการรองโฆษกกระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐเคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง แต่การเข้ายึดสนามบินถือเป็นการประท้วงที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ขอเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกจากสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิอย่างสงบ หวังว่าสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นจะสามารถคลี่คลายได้โดยปราศจากความรุนแรงและจบลงภายใต้หลักของกฏหมาย

นายกอร์ดอน กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันวิตกกังวลกับการชุมนุมประท้วงและการเข้ายึดสนามบินภายในประเทศและสนามบินระหว่างประเทศในกรุงเทพมหานคร ซึ่งทำให้การเดินทางอย่างอิสระเสรีของทั้งคนและสินค้าต้องประสบภาวะชะงักงัน

รายงานข่าวระบุว่า ข้อเรียกร้องของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐมีขึ้นหลังจากสายการบินหลายแห่งในหลายประเทศเริ่มทยอยเข้ามารับพลเมืองกลับโดยใช้สนามบินอู่ตะเภา อย่างไรก็ตาม ยังมีนักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนติดค้างอยู่ในประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จำลอง ยันมีผู้ใหญ่ขอให้ยุติ แต่หยุดไม่ได้ต้องเดินหน้า

วันนี้ (28 พฤศจิกายน) เวลา 07.25 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นปราศรัย ว่า เหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา หลายคนคาดคิดกันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมในจุดที่พันรธมิตรฯชุมนุมทั้ง 4 แห่ง แต่ทุกอย่างเรียบร้อย ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเรามีการเตรียมความพร้อม ทำให้ตำรวจไม่กล้าเข้ามาสลายการชุมนุมทั้ง 4 แห่ง ไม่ว่าทำเนียบ - สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเอเอสทีวี บ้านเจ้าพระยา

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งติดต่อมาหาเพื่อจะขอพูดคุย และขอร้องให้พันมิตรฯสลายการชุมนุมที่สุวรรณภูมิ และดอนเมือง แต่ตนได้บอกไปว่า คงจะสลายการชุมนุมไม่ได้

แม้ว่าเศรษฐกิจจะเสียหายยับเยินไปแล้ว แต่พันธมิตรฯ ไม่ใช่ต้นเหตุความเสียหาย ทุกอย่างเกิดจากรัฐบาลและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตลอด 108 วันที่ผ่านมา พันธมิตรฯชุมนุมด้วยความยากลำบาก แต่คนอีกกลุ่มกลับอยู่ด้วยความสบาย แล้วจู่ๆจะเรียกร้องให้เราสลายการชุมนุมคงไม่ได้ จุดยืนคือเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ ดังนั้นการที่เราเข้ายึดสุวรรณภูมิ และดอนเมือง เราได้เดินมาไกลมากถึงขนาดนี้แล้วจะขอให้เราหยุดคงเป็นไปไม่ได้ หากตำรวจอยากจะเข้ามาสลายการชุมนุม ขอเตือนว่าหากเราถูกสลายในวันนี้ วันรุ่งขึ้นจะมีคนลุกขึ้นมามืดฟ้ามัวดิน

ขณะนี้ตำรวจเตรียมเข้าจับกุมแกนนำทั้งหมด เรื่องนี้ตนได้ประกาศไปแล้วว่า เรามีการตั้งแกนนำชุดที่ 3 เอาไว้หมดแล้ว ที่จะขึ้นมาทำหน้าที่แทน ที่เราเพื่อต้องการรักษาประเทศเอาไว้ เพราะหากแกนนำทั้งหมดถูกจับ ประชาชนจะลุกฮือขึ้น และไม่มีใครควบคุมได้ ดังนั้น หากแกนนำถูกจับ แกนนำชุดที่ 3 จะเข้ามาทำหน้าที่แทนทันที การต่อสู้จะต้องสู้ถึงที่สุด ถึงไหนถึงกัน จะให้หยุดคงเป็นไปไม่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลักจากพล.ต.จำลอง ปราศรัยเสร็จแล้ว มีกำหนดการจะเดินทางไปปราศรัยต่อที่ทำเนียบรัฐบาล และจะไปเยี่ยมให้กำลังใจพนักงานเอเอสทีวีที่บ้านพระอาทิตย์

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ผบ.ทบ.เรียกถกด่วน! แก้วิกฤตปท.บ่าย2 ชี้พธม.ขัดจุดยืนกองทัพ 3 ข้อ

ผบ.ทร.ชี้พธม.ขัดจุดยืนกองทัพ 3 ข้อ รับรู้สึกอึดอัดใจ ปลัดกลาโหมติงเลิกบีบ ผบ.ทบ. ให้ปฏิวัติ บอกยิ่งทำให้บ้านเมืองถอยหลังลงคลอง อนุพงษ์ ยันมติ 3 เหล่าทัพไม่ปฏิวัติแน่ ยึดจุดยืน 3 ข้อ ป้องกันชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ยุติรุนแรง ยึดกระบวนการยุติธรรม มทภ.1 ชี้นิ้วขึ้นฟ้าหลังโดนถามปฏิวัติ

ผบ.ทบ. เรียกประชุมทุกส่วนหาทางแก้วิกฤต

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม ขอเรียนเชิญหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ทบวง กรมหรือเทียบเท่า นายกสมาคมทุกสาขาอาชีพ ประธานอุตสาหกรรมไทย ประธานหอการค้าไทย ประธานการท่องเที่ยวไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย อธิการบดีทุกมหาวิทยาลัยเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือแนวทางการยุติสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เวลา 14.00 น.ของวันนี้ (26 พ.ย.) ที่ห้องประชุม 241 กองบัญชาการกองทัพบก

ผบ.ทร.ชี้พธม.ขัดจุดยืนกองทัพ 3 ข้อ รับรู้สึกอึดอัดใจ

พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) กล่าวเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวานนี้ (25 พ.ย.) ขัดกับจุดยืนของกองทัพ 3 ข้อ ซึ่ง 1 ใน 3 ข้อ คือ ไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกันระหว่างคน 2 กลุ่ม โดยยอมรับว่า อึดอัดใจมากกับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ เพราะประเทศชาติต้องก้าวหน้าต่อไป เราเดินต่อไปไม่ได้ ประชาชนเดือดร้อนมาก ไม่รู้ทำอย่างนี้นานๆ เข้า ผลกระทบจะยิ่งมาก

พล.ร.อ.กำธร ยืนยันว่า กองทัพไม่ได้นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ต้องใช้ความสุขุมรอบคอบพิจารณาผลดีผลเสียของการดำเนินการตามแนวทางต่างๆ และยอมรับว่า บทเรียน 19 ก.ย. 2549 ทำให้กองทัพต้องไตร่ตรองให้รอบคอบมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จุดยืนของกองทัพ ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุเมื่อวานนี้ มี 3 ข้อ 1.ทหารทุกเหล่าทัพจะดูแลประเทศชาติบ้านเมือง โดยมีแนวคิดดูแลสถาบันหลักของชาติ และประชาชนไว้ให้ได้ 2.ส่วนเรื่องประกันว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ผบ.เหล่าทัพเห็นตรงกันว่าจะใช้มาตรการและศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้คนมาปะทะกันทำให้เกิดความสูญเสียขึ้น และ 3.ยึดแนวทางกระบวนการยุติธรรม หรือกฎหมายเป็นหลักในการช่วยกันแก้ไขปัญหาสถานการณ์บ้านเมือง

ปลัดกลาโหมฮึ่ม! พันธมิตรเลิกบีบให้ปฏิวัติ

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน ที่โรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ ถนนวิทยุ เครือข่ายปัญญาสยาม แถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และขอให้กลุ่มพันธมิตรยุติการชุมนุม โดยนายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ อธิการบดีสถานบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ปรึกษาเครือข่ายฯ กล่าวว่า หากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป จะยิ่งรุนแรงขึ้น เครือข่ายฯจึงขอเสนอ 2 ข้อ คือ 1.ให้รัฐบาลลาออก 2.กลุ่มพันมิตรยุติการชุมนุม หลังจากนี้จะเสนอเอกสารต่อรัฐบาลและพันธมิตรต่อไป

พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ สมาชิกเครือข่ายฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการรัฐประหารยุติปัญหาเหมาะสมหรือไม่ว่า คงไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในขณะนี้ เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น เมื่อปัญหาเกิดขึ้นจากการเมืองควรแก้ไขด้วยการเมือง การทำรัฐประหารขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสถานการณ์และ ผบ.เหล่าทัพในขณะนั้น

วันเดียวกัน พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ ถึงจุดยืนกองทัพต่อการสถานการณ์การเมืองและการปิดล้อมสถานที่สำคัญๆของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า แนวทางออกที่ผู้บัญชาการ (ผบ.)เหล่าทัพพูดคุยกัน ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงสถานการณ์ หรือชาติบ้านเมือง สิ่งที่ ผบ.เหล่าทัพคิด คือพยายามอดทน อดกลั้น และยอมเจ็บพอสมควร ถ้าทำตามกลุ่มพันธมิตรที่ต้องการให้ทหารออกไปทำอะไร ยิ่งทำให้ชาติบ้านเมืองถอยหลังลงคลองและเลวร้ายไปอีก ผบ.เหล่าทัพคุยกันว่าอยากเห็นบ้านเมืองก้าวหน้ามากกว่าจะเห็นนานาประเทศ บอยคอตไทย ยิ่งกลายเป็นปัญหา

"ผมไม่อยากให้กลุ่มพันธมิตรบีบผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้ชาติบ้านเมืองยิ่งเลวร้ายหนักลงไปอีก อยากขอร้องอย่าไปกดดัน ผบ.ทบ. เพราะไม่มีประโยชน์ และไม่มีอะไรดีขึ้น สิ่งที่กลุ่มพันธมิตรกล่าวหาว่า ทหารไม่ทำอะไร แต่สิ่งที่ทหารทำอยู่ถือว่ายิ่งใหญ่กว่าที่เขาเรียกร้อง เพราะความอดทนไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ดังนั้นอย่าบีบให้เราต้องมาทำในสิ่งที่เราคิดว่าไม่ใช่เป้าหมายของประเทศ ชาติ" ปลัดกระทรวงกลาโหมกล่าว

พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า เชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรต้องการเอาระบบการเมืองใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหา เป้าหมายคือต้องการความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ ไม่อยากเห็นการคอร์รัปชั่นการทุจริต สิ่งที่ต้องการ ทุกฝ่ายคิดเหมือนกัน แต่วิธีดำเนินการไม่เหมือนกัน เชื่อว่ายังสามารถคุยกันได้ ทางออกที่ดีที่สุดคือการเจรจาทั้ง 2 ฝ่าย ถอยกันคนละก้าวมาพูดคุยหาทางออกให้บ้านเมือง หรือหาคนกลางช่วยกันพิจารณาทางออก ขณะนี้ดูอยู่ว่าจะหาใครมาเป็นคนกลาง

พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ตนกับ ผบ.เหล่าทัพหารือคุยกันตลอดเวลา ซึ่งทุกคนคิดเหมือนกัน เจตนารมณ์การทำงานของกองทัพ ยึดมั่นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน ทำทุกอย่างให้ประเทศชาติมั่นคงตามอำนาจหน้าที่ในรัฐธรรมนูญ ผู้สื่อข่าวถามว่า กองทัพจะปล่อยให้ชุมนุมต่อไปเรื่อยๆ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ใช่ ปัญหาของประเทศคือการแก้ไขโดยบุคคลรับผิดชอบ ขณะนี้ทุกคนเอาทุกอย่างมารวมกัน แล้วกำหนดให้เป็นหน้าที่ทหาร เมื่อถามต่อไปว่า ยืนยันจุดยืนเดิมหรือไม่ว่ากองทัพจะไม่ปฏิวัติ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า “ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน อยากถามว่าต้องการให้ทหารออกมาปฏิวัติอีกเหรอ”

ด้าน พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า กองทัพมีจุดยืน 3 ประการ 1.ดูแลปกป้องสถาบันหลักของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2.ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน รับมอบหมายให้ดูแลความสงบเรียบร้อย ต้องการให้บุคคลที่มีความขัดแย้ง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าเป็นฝ่ายใด ไม่ให้ประชาชนบาดเจ็บ 3.การดำเนินการใดควรเป็นไปตามครรลองของกฎหมาย หรือกระบวนการยุติธรรมเป็นหลัก ซึ่ง ผบ.เหล่าทัพ ยึดแนวทางใน 3 ประการ เพราะไม่อยากให้ใช้ความรุนแรง ให้ใช้ความสุขุมรอบคอบ สันติวิธี

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวถึงการดูแลการชุมนุมว่า มีแผนเตรียมไว้รองรับ แต่ขณะนี้ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะเกิด แต่ให้กำลังเตรียมพร้อมไว้แล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากให้กระแสสังคมตัดสินการชุมนุม แต่กองทัพอยู่เฉยๆ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ผบ.เหล่าทัพคุยกัน และยืนยันว่าสถานการณ์ขณะนี้อยู่ในสถานะที่เป็นการแสดงความคิดเห็น ไม่มีความรุนแรง กองทัพเห็นตรงกันในจุดยืน 3 ประการ

เมื่อถามว่า แสดงว่าทหารจะไม่ใช้การปฏิวัติอย่างที่หลายฝ่ายเรียกร้อง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ทุกเหล่าทัพเห็นตรงกันว่าการปฏิวัติเป็นแนวทางอื่น ยังไม่น่าที่จะแก้ไขปัญหาประเทศได้ ทุกส่วนและทุกเหล่าทัพเห็นตรงกันว่าจะยึดแนวทางหลัก 3 ประการ เพื่อประคองให้สถานการณ์ประเทศชาติ ผ่านวิกฤติไปได้

ขณะที่ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า กองทัพบกสั่งให้กองทัพภาคที่ 1 ติดตามสถานการณ์ความปลอดภัยไม่ว่าเหตุลอบทำร้าย หรือผู้ไม่ประสงค์ดี หรือเหตุการณ์ใดก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซง มีสารวัตรทหาร 3 เหล่าทัพวางกำลังร่วมกับตำรวจ 14 จุดในพื้นที่สำคัญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมองว่าหากทหารจะออกมาปฏิวัติ จะพุ่งเป้าไปที่แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก พล.ท.คณิต ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เมื่อถามว่า แสดงว่าต้องรอให้ ผบ.ทบ.สั่งใช่หรือไม่ พล.ท.คณิต ชี้นิ้วขึ้นฟ้า พร้อมกล่าวว่า "ทหารไม่ได้มีแค่ ผบ.ทบ.ท่านเดียว"

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พันธมิตรฯ ปะทะ นปช. บริเวณปากซอยวิภาวดี 3



สื่อข่าวรายงานวันนี้ (25 พ.ย.) ว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา มีเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.) และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณถนนวิภาวดีซอย 3 แขวงจอมพล เขตจตุจักร ทำให้มีผู้ถูกลูกหลง ได้รับบาดเจ็บประมาณ 4 ราย ขณะนี้ได้นำส่งโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียลแล้ว และยังมีกลุ่มคนได้เผารถจักรยานยนต์ จำนวน 3 คัน และเผาทำลายตู้โทรศัพท์เสียหาย บริเวณข้างปั๊มเอสโซ่ ถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้กับตึกดีแทค

ทั้งนี้ มีรายงานว่า กลุ่มแท็กซี่เสื้อแดงที่ปักหลักอยู่หน้าวิภาวดี ซอย 3 ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ เสื้อเหลืองที่นั่งมาบนรถกระบะเป็นขบวนมาจากดอนเมืองมุ่งหน้าดินแดง ระดมพลข้ามถนนจากช่องทางด่วนใช้อาวุธปืน ไม้และเหล็ก ใช้ปืนยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุ บาดเจ็บเป็น ชาย 3 หญิง 1 จากนั้นได้ใช้น้ำมันราดรถจักรยานยนต์รับจ้าง ที่จอดอยู่หน้าปากซอย ไป 3 คัน พอเสร็จเรียบร้อยแล้วได้วิ่งกลับไปขึ้นรถฝั่งตรงข้าม

อีกรายงานหนึ่ง ระบุว่า ระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เดินทางด้วยรถบรรทุกเข้ามาในพื้นที่ปากวิภาวดีซอย 3 ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ ปรากฏว่า ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดง ขว้างปาไม้ ก้อนหิน เข้าใส่กลุ่มพันธมิตรฯ นอกจากนั้น ยังพบมีการพก อาวุธ มีด ปืน ทั้งสองฝ่าย รวมถึงได้ยินเสียงคล้ายปะทัดดังขึ้นประมาณ 10 นัด ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (25 พ.ย.) ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจลของกรมบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการจำนวนกว่า 400 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งด่านสกัดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ตามทางเข้าออกด้านถนนบางนาตราด ถนนอ่อนนุช และถนนศรีแก้ว เพื่อไม่ให้เคลื่อนพลเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร โดยได้แบ่งกำลังส่วนหนึ่ง เข้าไปตรึงกำลังบริเวณลาดจอดรถแท็กซี่ของสนามบินฯ ซึ่งเป็นกลุ่มของคนรักทักษิณ และเตรียมเคลื่อนพลขึ้นมาประจันหน้า หากกลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนพลขึ้นมายังอาคารผู้โดยสาร

ทั้งนี้ มีคนขับรถแท็กซี่ 1 คน ถูกยิง และได้นำตัวส่งโรงพยาบาลลาดกระบัง แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นกลุ่มของพันธมิตรฯ หรือกลุ่มคนรักทักษิณ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ซูโม่แห้ว วีนปาวิทยุใส่หัว ตัวประกอบ


ซูโม่แห้วผกก.นอตหลุด ขว้างวิทยุโดนหัวดาราปูด [24 พ.ย. 51 - 03:41]

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 23 พ.ย. น.ส.กนกนุช ประทวนชัย อายุ 24 ปี ดารา ตัวประกอบละคร เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.วิวัฒน์ เพชรี พนักงาน สอบสวน (สบ 1) สน.โคกคราม เพื่อขอลงบันทึกประจำวัน ไว้เป็นหลักฐาน กรณีถูก “ซูโม่แห้ว” นายบำเพ็ญ ชำนิบรรณการ ผู้กำกับละครเรื่อง “น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์” ที่ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 เอาวิทยุสื่อสารขว้างใส่ ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดภายในร้านแชมพู แอนด์ ชูการ์ ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา แขวงและเขต ลาดพร้าว กทม. เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา

นักแสดงตัวประกอบละครวัยรุ่นยอดฮิตทางช่อง 3 ลำดับเหตุการณ์ว่า ได้รับการติดต่อจากบริษัทโมเดลลิ่งแห่งหนึ่งให้ไปรับบทเป็นตัวประกอบในละคร “น้องใหม่ ร้ายบริสุทธิ์” ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 16.00 น. ได้ไปเข้าฉากถ่ายทำละครตามที่นัดหมายตกลงกันไว้ ที่ร้านแชมพู แอนด์ ชูการ์ ซูโม่แห้ว-บำเพ็ญ ผู้กำกับ สั่งให้นั่งเป็นตัวประกอบภายในร้านปะปนกับกลุ่มดาราตัวหลัก เป็นฉากที่นักแสดงหลักทะเลาะกันแล้วคนในร้าน รวมทั้ง ตนต้องลุกขึ้นยืนดู แต่ผู้กำกับไม่ได้อธิบายรายละเอียดกับ ตน เมื่อถ่ายจริง ซูโม่แห้วสั่งให้นายพนัส โสภณวิทยางกุล แฟนของตนที่เป็นตัวประกอบเหมือนกัน ลุกขึ้นยืน แต่ นายพนัสไม่ทราบบทจึงนั่งเฉย

เหยื่ออารมณ์ผู้กำกับละครเผยอีกว่า ซูโม่แห้วแสดง อาการไม่พอใจทันที คว้าวิทยุสื่อสารขว้างมาที่โต๊ะถูก ศีรษะตนจนเจ็บ แล้วยังเรียกนายพนัสไปด่าด้วยถ้อยคำ หยาบคาย ทำเอาทีมงานและนักแสดงทั้งกองถ่ายต่างเงียบ กริบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไร จากนั้นจึงถ่ายทำกันต่อจนเลิก ซูโม่แห้วถึงเดินมาขอโทษ อ้างไม่ได้ตั้งใจ ตนก็ไม่คิดจะเอาเรื่อง เพราะไม่เป็นอะไรมาก แต่เมื่อตื่นมาตอนเช้า รู้สึกเจ็บศีรษะ พบมีรอยบวมช้ำ เลยตัดสินใจเข้าแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ก่อน และอยากให้ผู้กำกับรู้ว่าการทำแบบนี้กับคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย ปกติหากผิดคิว น่าจะบอกกล่าว หรือตักเตือน ไม่ใช่ใช้อารมณ์ แล้วยังเรียกไปด่าอีก

ด้าน ร.ต.ท.วิวัฒน์ เพชรี พนักงานสอบสวนผู้รับเรื่องกล่าวว่า เบื้องต้นได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แล้ว ก่อนจะทำหนังสือเรียกตัวซูโม่แห้ว-บำเพ็ญ มาสอบถามเพื่อความกระจ่างชัด และให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาไกล่เกลี่ยตกลงกันอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รถแข่งพุ่งชน กองเชียร์ตาย9 สนามคลองหลวง

เก๋งเสียหลักเหินฟ้าชนแท่งปูนกั้นขอบสนามแข่งรถ จ.ปทุมธานี ก่อนกวาดคนดูข้างสนามตาย 9 เจ็บระนาว คนขับเผ่นหนี ตำรวจเตรียมเรียกสอบพร้อมคนดูแลสนามมรณะ แจ้งข้อกล่าวหา


นาฏกรรมคาสนามแข่งรถครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ต.ท.วันชัย แฉ่งอารีย์ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี รับแจ้งเกิดเหตุรถยนต์เสียหลักพุ่งชนฝูงคนที่เข้าไปดูการแข่งขันรถยนต์ภายในสนามแข่งรถบางกอกแด๊กซ์ อเวนิว ตั้งอยู่ริมถนนเลียบคลองห้า หมู่ 11 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขอให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบด้วย หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับทราบตามลำดับชั้น พร้อมรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ร่วมกับ พ.ต.ท.พัลลพ แอร่มหล้า สวญ.สภ.คลองห้า แพทย์ รพ.คลองหลวง และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู


นอกจากนี้ยังทราบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 11 คน พลเมืองดีและเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญูนำส่งโรงพยาบาลต่างๆ โดยที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ รับผู้บาดเจ็บ 5 คน เสียชีวิตในเวลาต่อมา 1 คน ยังทราบชื่อ ที่โรงพยาบาลภัทร ธนบุรี มีผู้บาดเจ็บ 2 คน โรงพยาบาลธัญบุรี 3 คน เสียชีวิต 1 คน ทราบชื่อคือ นายจีระเดช กอแซ อายุ 15 ปี และโรงพยาบาลคลองหลวง 1 คน เสียชีวิตในเวลาต่อมา ทราบชื่อคือ นายปิยะ สมันเลาะ อายุ 35 ปี รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมด 9 คน

สอบสวนนายบุญเลิศ กองพา อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/128 หมู่ 4 ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าวว่า ตนและเพื่อนๆ หลายคนซึ่งเป็นช่างซ่อมรถ และได้เดินทางมากับทีมแข่งรถเพื่อคอยดูแลเครื่องยนต์ ระหว่างที่ทีมของพวกตนยังไม่ได้ลงสนามแข่ง จึงได้มายืนดูการแข่งขันที่ข้างสนาม ซึ่งเป็นช่วงแข่งขับแบบควอเตอร์ไมค์ ระยะ 400 เมตร มีรถลงสนามแข่ง 2 คัน เมื่อกรรมการให้สัญญาณปล่อยรถ ทั้งคู่ได้พุ่งออกจากจุดสตาร์ทอย่างรวดเร็ว

เมื่อรถวิ่งมาได้ประมาณ 300 เมตร จู่ๆ รถคันเกิดเหตุซึ่งเป็นรถแข่งของทีมหมอเส็ง ซึ่งวิ่งอยู่เลนขวาได้เสียหลักแฉลบมาทางด้านซ้าย และพุ่งเข้าชนแท่งปูนกั้นขอบสนามอย่างรุนแรง จนตัวรถพลิกคว่ำกระเด็นลอยข้ามแท่งปูนตรงเข้ากวาดผู้คนที่ยืนชมการแข่งขันอยู่ด้านข้าง จนเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันเสียชีวิตทันที 4 คน และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ก่อนที่รถคันดังกล่าวจะไปหยุดนิ่งพลิกคว่ำอยู่ขอบปูนดังกล่าว

พ.ต.ท.วันชัยกล่าวว่า จากการสอบสวน เบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุทางสนามแข่งรถแห่งนี้ได้จัดการแข่งรถเพื่อประลองความเร็วครั้งใหญ่ขึ้นเป็นนัดพิเศษ โดยจะจัดขึ้นปีละครั้ง ทำให้มีกลุ่มวัยรุ่นจำนวนหลายพันคนเข้ามาชมการแข่งขันในครั้งนี้ นอกจากมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว ยังพบว่ามีรถกระบะและรถเก๋งที่จอดอยู่ข้างทางถูกรถคันเกิดเหตุพุ่งเข้าชนจนเสียหายทั้งหมด 6 คัน

จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ขับรถคันเกิดเหตุคือ นายทศพล เปรี่ยมใย ไม่ทราบอายุและที่อยู่ หลังเกิดเหตุได้อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไป เจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวมาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ในส่วนของผู้ดูแลสนามแข่งขัน จะเชิญตัวมาสอบสวนเพื่อจะดูว่าทางสนามแข่งขันกระทำการโดยประมาท หรือไม่มีการเตรียมพร้อมป้องกันอย่างดีหรือไม่ จนเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น หากมีส่วนประมาทเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ลูกนักการเมืองดัง เปิดศึกแย่งผู้ชาย


ลูกสาวนักการเมืองชื่อดังก่อเหตุงามหน้ายกพวกรุมจิกหัวตบสั่งสอนมารหัวใจหน้าศาลากลางจังหวัดฯ คู่กรณีสู้ไม่ไหวเผ่นขึ้นจยย.หนีไปตั้งหลัก อีกฝ่ายยังไม่หนำใจบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ปรี่ขึ้นเก๋งซิ่งตามไล่ล่า ได้จังหวะเหมาะเหยียบคันเร่งจนมิดพุ่งชนเหยื่อกระเด็นกระดอนตกจยย.ได้รับบาดเจ็บ ส่วนรถพังยับเยิน ขณะที่ตัวเองแค่หัวแตก ตร. เตรียมแจ้งข้อหาหนัก “สาวเลือดร้อน” พยายามฆ่า-ขับรถขณะเมาสุรา และอีก 2 กระทง

เปิดศึกแย่งผู้ชาย ลูกนักการเมืองดัง ซิ่งรถพุ่งชนคู่กรณีหวิดตาย ถูกเปิดเผยเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 21 พ.ย. ร.ต.ท.ชาตรี ชูแก้ว ร้อยเวร สภ.เมืองอุทัยธานี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บ หน้าศาลากลางจังหวัดฯ รีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถเก๋งโตโยต้ายาริส สีขาว พุ่งชนเสาไฟฟ้าจนหักโค่น สภาพรถพลิกตะแคงอยู่บนลานปูน หน้ารถชนกับต้นไม้พังยับเยิน โดยมีรถ จยย.สีน้ำตาล สภาพใหม่ถูกรถคันดังกล่าวลากครูดเป็นทางยาวจนกลายเป็นเศษเหล็ก เบื้องต้นทราบชื่อคนขับรถยนต์คือ น.ส.เก๋ (นามสมมุติ) อายุ 23 ปี ลูกสาวนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังคนหนึ่ง อยู่ในสภาพเมาสุราอย่างหนัก ศีรษะแตกได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนคนขี่จยย. ชื่อ น.ส.สวย (นามสมมุติ) อายุ 23 ปี มีอาการบาดเจ็บศีรษะบวม ร่างกายฟกช้ำดำเขียวถลอกปอกเปิกเต็มไปหมด ทั้งนี้เจ้าตัวมีสติ แต่ยังไม่สามารถให้การกับเจ้าหน้าที่ได้

จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเห็น น.ส.สวย ขี่จยย.ลักษณะคล้ายกับหนีรถเก๋งโตโยต้ายาริสคันดังกล่าว มาถึงที่เกิดเหตุรถคู่กรณีได้เร่งเครื่องก่อนจะพุ่งชนอย่างจัง ทำให้ น.ส.สวย กระเด็นตกจากรถ ศีรษะกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้เรียกพยานคนหนึ่งมาสอบปากคำ เบื้องต้นได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.สวย ถูก น.ส.เก๋ พร้อมพวกรุมตบที่ลานสุพรรณิการ์หน้าศาลากลางจังหวัดฯ สาเหตุมา จากแย่งผู้ชายคนเดียวกัน หลังจากถูกรุมทำร้าย น.ส.สวย สู้ไม่ได้เลยรีบขี่ จยย.หนี แต่ น.ส.เก๋ ซึ่งอยู่ในอาการเมาสุราไม่ยอมขับรถยนต์ไล่ตาม ก่อนจะเหยียบคันเร่งพุ่งชนมารหัวใจจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่นำตัว น.ส.เก๋ ไปตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ และสารเสพติดในร่างกาย ผลระบุว่า น.ส.เก๋มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนด ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมแจ้งข้อหา พยายามฆ่า, ขับขี่รถขณะเมาสุรา, ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินทางราชการเสียหาย และขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้ รับความเสียหาย อย่างไรก็ตามจะได้สอบปากคำ พยานและผู้บาดเจ็บอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป.

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เตือนภัยแฟชั่น *เจาะจิ๋ม* เสี่ยงติดเชื้อ

สธ.เตือนภัยแฟชั่น *เจาะจิ๋ม* เสี่ยงติดเชื้อถึงตาย
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแฟชั่นการเจาะอวัยวะเพศซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นหญิงว่า กลุ่มวัยรุ่นมักจะมีแฟชั่นเป็นของตนเอง และพบว่าขณะนี้เริ่มมีแฟชั่นการเจาะใส่เครื่องประดับอวัยวะเพศเข้ามา จึงอยากเตือนว่า ไม่ควรเจาะใส่เครื่องประดับตรงบริเวณดังกล่าว เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากบริเวณอวัยวะเพศหญิงเป็นที่อับชื้น ทำให้มีเชื้อโรคแบคทีเรีย ซ้ำยังเป็นส่วนที่มีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงมาก หากมีการเจาะบริเวณนี้ ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดบาดแผล เกิดความเจ็บปวด ทรมาน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อตามมาได้ ตั้งแต่เกิดอาการอักเสบ บวมแดง และอาจมีการติดเชื้อลามไปถึงท่อปลีกมดลูก ท่อปัสสาวะและไต นอกจากนี้หากมีการติดเชื้อไปในกระแสโลหิตยังอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยในรายที่ติดเชื้อลามไปถึงท่อปลีกมดลูกอาจทำให้มดลูกตีบตัน ไม่ได้สามารถมีบุตรได้

การเจาะอวัยวะเพศหญิงนั้น จะเจาะตรงส่วนที่เรียกว่าแคมใหญ่ และบริเวณด้านนอก โดยมีการนำเอาโลหะที่เป็นเครื่องประดับมาร้อยใส่ไว้ ซึ่งแฟชั่นนี้วัยรุ่นจะทำตามเพื่อนๆ และคิดเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่โก้เก๋ แต่เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่งจะมาให้แพทย์นำออก เพราะนอกจากรู้สึกเจ็บและรำคาญแล้ว ยังมีการเสียดสีตรงบริเวณดังกล่าวบ่อยครั้ง จนทำให้เกิดการอักเสบตามมา* น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าว

รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่เชื่อว่า เมื่อเจาะและใส่เครื่องประดับที่อวัยวะเพศแล้ว จะส่งผลให้มีความรู้สึกทางเพศมากขึ้นนั้น ต้องขอเรียนว่า เรื่องความรู้สึกทางเพศนั้น ต้องอาศัยจากหลายองค์ประกอบ ไม่ใช่เมื่อเจาะใส่วัตถุใดที่อวัยวะเพศแล้ว จะทำให้มีความรู้สึกทางเพศมากขึ้น ซึ่งความเชื่อนี้ไม่เฉพาะแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่เข้าใจผิด แต่พบว่าในกลุ่มผู้ชายก็มีเชื่อเช่นนี้ เนื่องจากพบว่ามีการฝังวัตถุที่อวัยวะเพศตนเอง แต่ปรากฏว่าในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่เจ็บปวดจากการฝังและเจาะอวัยวะเพศเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลง หรือขาดความรู้สึกทางเพศไปเลย ดังนั้นการเจาะอวัยวะเพศจึงไม่ได้เป็นการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศอย่างที่เข้าใจ

น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้การเจาะใส่เครื่องประดับจะนิยมเจาะที่ใบหู อันตรายเกิดขึ้นน้อย เพราะไม่ใช่ตำแหน่งจุดสำคัญอะไร แต่ต่อมาก็นิยมหันมาเจาะใส่เครื่องประดับตามส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ที่ริมฝีปาก จมูก และสะดือ รวมถึงอวัยวะเพศอย่างที่พบในปัจจุบัน ซึ่งการเจาะในเครื่องประดับอวัยวะเพศหญิงจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพอย่างมาก ดังนั้นวัยรุ่นจึงไม่ควรเลียนแบบ นอกจากนี้ยังอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ได้ จากการใช้อุปกรณ์เจาะที่ไม่มีการทำความสะอาดที่ดีพอ.

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โจรสลัดโซมาเลียยึด เรือประมงไทย

สำนักข่าวต่างประเทศเอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์ รายงานอ้างคำกล่าวนาย โนเอล ชูง เจ้าหน้าที่สำนักงานกรมเรือเดินสมุทร ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 19 พ.ย. ว่า เรือประมงไทยรวมทั้งลูกเรืออีก 16 คน ถูกโจรสลัดโซมาเลียบุกยึดจับตัวเรียกค่าไถ่ บริเวณอ่าวอาเดน ในน่านน้ำโซมาเลีย เมื่อวันอังคารที่ 18 พ.ย. โดยเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากกลุ่มโจรสลัดใดๆ ทั้งสิ้น นับเป็นเรือลำที่ 8 ที่ถูกโจรสลัดโซมาเลีย บุกยึดในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้มีรายงานจากสมาคมนักเดินเรือแอฟริกาตะวันออกว่า เรือสินค้าอีก 2 ลำ ของอิหร่านและกรีก ถูกโจรสลัดบุกยึดในวันเดียวกัน

นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ผู้จัดการของบริษัทศิริชัย ฟิชเชอร์รี จำกัด เปิดเผยกับสำนักข่าวเอพีว่า เรือไทยดังกล่าวชื่อ “เอกวัฒน์ นาวา 5” มีลูกเรือ 16 คน เป็นชาวไทย 15 คน กัมพูชา 1 คน ขณะนี้ บริษัท ได้แจ้งข่าวให้ครอบครัวของลูกเรือทุกคนทราบแล้ว บริษัทอยู่ระหว่างการรอข้อเรียกร้องจากโจรสลัดอยู่

ด้านผู้บังคับการ เจน แคมเบล โฆษกประจำกองทัพเรือที่ 5 ของสหรัฐฯ ได้ยืนยันว่าเรือไทยถูกโจรสลัดยึดจริง เนื่องจากกองทัพเรือได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเรือไทย จึงมีการส่งเครื่องบินไปตรวจสอบและพบว่ากลุ่มโจรสลัดได้ยึดเรือไทยเป็นที่เรียบร้อย ขณะนั้นไม่มีเรือรบของสหรัฐฯอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จึงไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน ส.ค. โจรสลัดโซมาเลียได้บุกยึดเรือบรรทุกสินค้า “เดอะ เอมวีธอร์ สตาร์” ของไทย ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท โธเรเซน ไทย เอเยนซี่ บริษัทเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เพิ่งได้รับการปล่อยเป็นอิสระเมื่อปลายเดือน ต.ค.หลังกลุ่มโจรสลัดได้รับค่าไถ่ไม่ทราบจำนวน

ส่วนเรือบรรทุกน้ำมันดิบ “ซิริอุส สตาร์” ของซาอุดีอาระเบีย ที่ถูกโจรสลัดยึดไปเมื่อวันเสาร์ที่ 15 พ.ย. ขณะนี้กลุ่มโจรสลัดได้ติดต่อเรียกร้องค่าไถ่ผ่านทางสำนักข่าวอัลจาซีรา แต่ไม่ระบุจำนวนเงิน นาย ชูง เผยเพิ่มว่า เรือจำนวน 17 ลำ รวมลูกเรือกว่า 300 คน ถูกโจรสลัดครอบครอง และอยู่ระหว่างการเจรจาค่าไถ่ รวมถึงเรือบรรทุกน้ำมันดังกล่าว และเรือบรรทุกอาวุธ “เอมวี ไฟนาร์” ของยูเครน

ขณะเดียวกัน เมื่อตอนค่ำของวันที่ 18 พ.ย. กองทัพเรืออินเดียเผยว่า เรือพิฆาต ไอเอนเอส ทาบาร์ ทำการจมเรือโจรสลัดโซมาเลีย ระหว่างปฏิบัติภารกิจไล่ล่าโจรสลัด บริเวณอ่าวอาเดนในน่านน้ำโซมาเลีย โดยเรือพิฆาตอินเดีย ค้นพบเรือต้องสงสัยเมื่อตอนดึกของคืนวันอังคาร และได้ประกาศขอตรวจค้นเรือ แต่ถูกปฏิเสธและเปิดฉากยิงใส่เรือรบอินเดีย ด้วยอาวุธเบาและจรวดอาร์พีจี ทำให้ฝ่ายอินเดียยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตัว จนเรือดังกล่าวระเบิดและจมลง ทั้งนี้ กองทัพเรืออินเดียเผยว่า เรือโจรสลัดที่จม เป็น “เรือแม่” ซึ่งเป็นเรือบัญชาการของกลุ่มโจรสลัด ทำหน้าที่ส่งเรือเร็วขนาดเล็ก เข้าบุกยึดเรือสินค้าต่างๆ

นอกจากนี้ รัฐบาลและกลุ่มเอกชนของต่างชาติ ตอบสนองต่อสถานการณ์โจรสลัดที่เพิ่มทุกขณะ โดยเจ้า หน้าที่ของกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ผู้ไม่ขอระบุชื่อ เปิดเผยเมื่อ 19 พ.ย. ว่า กระทรวงกลาโหมมีแผนยื่นมติขอความเห็นชอบต่อสภา ในการอนุมัติให้ส่งเรือรบเข้าไปยังน่านน้ำของโซมาเลีย เพื่อปกป้องเรือสินค้า และเส้นทางเดินเรือ ด้านญี่ปุ่นนาย ทาโร เอโสะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเสนอให้รัฐบาลเร่งหาวิธีรับมือปัญหาโจรสลัด และ ก่อนหน้านี้ 1 วัน กลุ่มบริษัทขนส่งทางเรือยักษ์ใหญ่ ออดฟ์เจล เอสอี ของนอร์เวย์ สั่งให้เรือบรรทุกน้ำมันมากกว่า 90 ลำ เปลี่ยนเส้นทาง โดยให้ไปอ้อมทวีปแอฟริกา แทนเส้นทางคลองสุเอซที่ผ่านน่านน้ำโซมาเลีย

อย่างไรก็ตาม ผู้บังคับการ เจน แคมเบล กล่าวด้วยว่า การป้องกันปัญหาโจรสลัด ในขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากในบริเวณอ่าวอาเดน มีเรือสินค้ากว่า 21,000 ลำต่อปี ใช้เส้นทางเดินเรือดังกล่าว ประกอบกับจำนวนเรือรบและเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ และกองกำลังสนธิสัญญาแอตแลนติคเหนือ (นาโต้) มีไม่เพียงพอ อนึ่ง อ่าวอาเดนในน่านน้ำโซมาเลีย เป็นทางผ่านสู่คลองสุเอซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่มีความสำคัญต่อการค้าขายระหว่างทวีปยุโรปกับเอเชีย

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ด.ญ.เจาะลิ้น เข็มหลุดแทงลำคอ

ด.ญ.เจาะลิ้นเข็มหลุดแทงโคนลิ้น
สาววัย 14 เด็กแนวเลียนแบบดารานักร้องคนดัง ไปเจาะลิ้นแต่เข็มที่ใส่หมุดเกิดหลุดทิ่มแทงเข้าไปในโคนลิ้น พยายามจะดึงออกแต่เข็มยิ่งมุดเข้าไปลึก ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะลิ้นอักเสบจนคับปาก จะกินข้าวกินน้ำทั้งทีแสนลำบาก ครั้งจะไปหาหมอก็ไม่มีเงินเนื่องจากฐานะทางบ้านยากจนเลยทนเจ็บปวดนานเดือนกว่า ผู้ว่าฯ รู้ข่าวลงพื้นที่สั่งให้นำตัวส่ง รพ.ทันที หมอไม่รับปากจะผ่าตัดได้เพราะลิ้นมีเส้นประสาทละเอียดอ่อน กลัวพลาดจะทำให้หมดรู้รสอาหาร เตรียมเรียกแพทย์ประชุมหาทางช่วยเหลือพร้อมยกให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจเด็กวัยรุ่น จะทำอะไรให้คิดดี ๆ เสียก่อน

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดพิจิตร ได้รับการเปิดเผยจากนายประสิทธิ์ มีช่าง เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่า เมื่อช่วงเช้าได้นำตัว ด.ญ.ส้ม (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี ไปที่ รพ.พิจิตร เพื่อให้แพทย์ตรวจลิ้น เนื่องจากเจ้าตัวไปเจาะลิ้นมา แล้วเข็มหมุดเกิดหลุดเจาะเข้าไปในโคนลิ้น พอจะดึงออกเข็มยิ่งลงลึกกว่าเดิม ทำให้ขณะนี้ลิ้นเกิดอับเสบจนคับเต็มปาก จะพูด จะกินข้าวหรือน้ำสุดแสนลำบาก

จากการสอบถาม ด.ญ.ส้มทราบว่า ตนเรียนหนังสือถึงชั้น ม.2 จากนั้นไม่ได้เรียนต่อ เพราะฐานะทางบ้านยากจน ประกอบกับสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เนื่องจากป่วยเป็นโรค ถุงลมโป่งพองจนต้องผ่าตัดปอดทิ้งไปข้างหนึ่ง กระทั่งเมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา ตนเห็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันไปเจาะหู เจาะคิ้ว เจาะสะดือ เจาะลิ้น เลียนแบบดารานักร้องคนดัง ตนกับเพื่อนเลยเอาแบบอย่างบ้าง โดยตนไปเจาะลิ้นแต่บังเอิญเข็มหมุดเกิดหลุดเจาะเข้าไปในโคนลิ้น ครั้งแรกญาติพยายามช่วยกันดึงออกแต่ดึงเท่าไรก็ไม่ออก แถมยิ่งทำให้เข็มหมุดแทงลึกเข้าไปกว่าเดิม จากนั้นจึงไปที่สาธารณสุขประจำตำบล แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมเลยบอกให้ไปรักษาใน รพ.พิจิตร ครั้งแรกตนไปหาหมอและเอกซเรย์ไว้ แต่หลังจากนั้นไม่ได้ไปพบแพทย์ตามที่สั่งเพราะไม่มีเงินค่ารถ จึงปล่อยทิ้งไว้จนลิ้นอักเสบจนบวมใหญ่คับปาก

เด็กแนวจอมซ่าบอกต่อว่า พอวันเดียวกันนี้ขณะที่นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนใน อ.โพธิ์ประทับช้าง ญาติเลยเข้าไปร้องขอความช่วยเหลือ พอทางผู้ว่าฯ ทราบได้สั่งให้เจ้าหน้าที่พาตนส่ง รพ.พิจิตร ทันที ขณะที่ นพ.ประจักษ์ วัฒนกูล รก.ผอ.รพ.พิจิตร เปิดเผยว่า หลังจากเอกซเรย์พบว่ามีเข็มหมุดอยู่ลึกเข้าไปใน โคนลิ้นจึงนัดให้คนไข้มาหาอีกทีในวันที่ 21 ต.ค. แต่คนไข้ไม่ยอมมาพบแพทย์ กระทั่งผู้ว่าฯทราบเรื่องและช่วยเหลือให้เจ้าหน้าที่นำตัวส่ง รพ.ดังกล่าว

นพ.ประจักษ์บอกต่อว่า ขณะนี้แพทย์ยังไม่รู้จะรักษาอย่างไรดี ครั้นจะดึงออกก็ดึงไม่ได้ พอจะผ่าตัดก็มีความเสี่ยงสูง เพราะลิ้นมีเส้นประสาทที่ละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะต่อมรู้ รสอาหาร หากผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้ต่อมรู้รสอาหารเสีย ซึ่งจะเรียกแพทย์ที่เกี่ยวข้องมาประชุมหาทางช่วยเหลือต่อไป นอกจากนี้ยังขอให้เป็นกรณีตัวอย่างเตือนใจวัยรุ่นทั้งหลายที่คิดจะเจาะอะไรตามร่างกายขอให้ปรึกษาพ่อแม่หรือผู้ปกครองเสียก่อน หากผิดพลาดไปจะเสียใจภายหลัง.

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แจก 4 แสนเล่ม หนังสือรวมภาพพระพี่นางฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 15.00 น. วันนี้ (18 พ.ย.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดเป็นประธานเปิดนิทรรศการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ บริเวณพระเมรุ ท้องสนามหลวง



ทั้งนี้ นิทรรศการดังกล่าว กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-30 พ.ย. 2551 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชมความงดงามของพระเมรุ พระที่นั่งทรงธรรม และอาคารประกอบอื่นๆ อย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกันจะมีการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับคติความเชื่อในการจัดสร้างพระเมรุด้วย



วันเดียวกัน นายอภินันท์ โปษยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สคร.) กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่ สศร. ได้จัดทำโครงการศิลปกรรม พระประวัติ และพระกรณียกิจในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จำนวนทั้งหมด 84 ภาพ ขณะนี้ สศร. ได้นำผลงานดังกล่าว ไปติดตั้งสำหรับจัดแสดงในส่วนหนึ่งของนิทรรศการฯ บริเวณพระเมรุเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ประชาชนได้รับชมผลงานของศิลปินที่สร้างถวายแด่สมเด็จพระพี่นางเธอฯ



ผอ.สคร. กล่าวต่อว่า จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมนิทรรศการฯ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 21.00 น. นอกจากนั้น สคร. ยังได้จัดพิมพ์หนังสือรวบรวมภาพทั้งหมดเบื้องต้นจำนวน 400,000 เล่น สำหรับแจกจ่ายประชาชนฟรีด้วย และพร้อมจะจัดพิมพ์เพิ่มเติมให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน อย่างไรก็ตาม ภายหลังการจัดแสดงภาพทั้งหมดที่พระเมรุแล้ว จะมีการนำไปจัดแสดงในส่วนภูมิภาค แต่ยังไม่ได้กำหนดสถานที่



นายอภินันท์ ยังกล่าวถึงภาพรวมของนิทรรศการฯ ว่า จะเปิดโอกาสให้ประชาชนถ่ายภาพของพระเมรุ รวมทั้งพระที่นั่งทรงธรรม และอาคารประกอบอื่นๆ ทุกมุม โดยตลอดเวลาจะมีการเปิดไฟส่องสว่างเช่นเดียวกับระหว่างพระราชพิธี อย่างไรก็ตาม ต้องขอความกรุณาประชาชนอย่างแตะต้องพระเมรุ เนื้องานต่างๆ และผลงานจิตกรรมที่นำมาจัดแสดง

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ไฟช๊อตทวงหนี้2สาว แถมจะข่มขืนซ้ำ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 16 พ.ย. พ.ต.ต.ธนากร เลิศพรเจริญ สว.สส.สน.โชคชัย รับแจ้งเหตุทำร้ายร่างกายหญิงสาวที่ธนาภาอพาร์ตเมนต์ ซอยสังคม 1 ถนนโชคชัย 4 แยก 6 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. จึงรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุอยู่ภายในห้อง 316 ชั้น 3 พบชายฉกรรจ์ 1 คน ทราบชื่อต่อมาคือนายพีรัชณ์ หรือพี สมุทรโชติช่วง อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/20 หมู่ 6 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. กำลังใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าจี้ที่ลำตัวผู้หญิง 2 คน ที่วิ่งหลบหนีไปมาอยู่ในห้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าระงับเหตุ และจับกุมนายพีรัชณ์มาสอบปากคำที่ สน.โชคชัย พร้อม 2 สาวคู่กรณี


จากการสอบสวนหญิงสาวทั้งคู่ทราบชื่อว่า น.ส. ยุวดี ขวางลำ อายุ 27 ปี และ น.ส.ประภาศิริ หินสูงเนิน อายุ 29 ปี ทำงานอยู่ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ย่านโชคชัย 4 โดยเช่าห้องพักที่เกิดเหตุร่วมกัน ส่วนสาเหตุที่ถูกทำร้าย เพราะไปร่วมกู้เงินนอกระบบจากนายพีรัชณ์ 1 แสนบาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อเดือน ช่วงหลังเศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีเงินจ่าย จึงหลีกลี้หนีหน้ามาตลอด กระทั่งนายพีรัชณ์บุกมาทวงเงินที่ติดค้างชำระอยู่ถึงห้องพัก แต่พวกตนยังไม่มีให้จึงถูกนายพีรัชณ์ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าจี้ตามร่างกาย รวมทั้งใช้กำลังเตะต่อยทุบขา และแขนจนบวมช้ำ อีกทั้งยังพยายามปลุกปล้ำข่มขืนพวกตน อ้างเป็นการขัดดอก แต่ตำรวจเข้ามาช่วยไว้ทัน


ด้านนายพีรัชณ์อ้างว่า เป็นกรรมการตัดสินฟุตบอลของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยเป็นลูกน้อง เสธ.ทหารชื่อดังผู้หนึ่ง และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ พ.ต.ท.ภูมินทร์ สิงหสุต รอง ผกก.ป.สภ.สำโรงเหนือด้วย ทั้งนี้นายพีรัชณ์รับสารภาพว่าทำร้ายร่างกายหญิงสาวทั้งคู่จริง เพราะโมโหที่คู่กรณีทั้งคู่ยืมเงินจากตนซึ่งเป็นของนายทุนผู้หนึ่งแล้วหลบหนีไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย หน่วงเหนี่ยวกักขัง บุกรุก และปล่อยเงินกู้คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด นำส่ง ร.ต.ท.สิทธิชัย บริสุทธิ์ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.โชคชัย ดำเนินคดี


สำหรับนายพีรัชณ์เป็นอาจารย์ส่วนงานกีฬาและนันทนาการ ของมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต รวมทั้งเป็นผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัยด้วย ขณะที่ พ.ต.ท.ภูมินทร์ สิงหสุต รอง ผกก.ป.สภ.สำโรงเหนือ กล่าวยอมรับว่ามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายพีรัชณ์จริง แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินการไปตามกฎหมาย

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พระราชพิธีเก็บพระอัฐิ




เมื่อเวลา ๐๘.๐๐ น. วันนี้(๑๖ พ.ย.) ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง ตามหมายกำหนดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาชราชนครินทร์ เจ้าพนักงานถวายภัตตาหารพระพิธีกรรมที่สวดพระอภิธรรมประจำซ่าง เจ้าพนักงานภูษามาลาประมวลพระอัฐิ พระสรีรางคาร ถวายคลุมไว้

ในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ มายังพระที่นั่งทรงธรรม โดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี พระบรมวงศานุวงศ์ พร้อมด้วยท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และครอบครัว ตลอดจนเหล่าข้าราชการ รอรับเสด็จ

โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จขึ้นพระเมรุ (ในขณะนี้เจ้าพนักงานภูษามาลาเปิดผ้าตาดที่ถวายคลุมพระอัฐิ) ทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะพระอัฐิ ถวายสรงพระอัฐิด้วยน้ำพระสุคนธ์ทั่วแล้วเจ้าพนักงานภูษามาลาถวายผ้าตาดคลุมพระอัฐิ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระอัฐิบูชาพระสงฆ์ ทรงทอดผ้าไตรสามหาบ พระสงฆ์ขึ้นสดับปกรณ์ครบ ๖ รูปแล้ว เจ้าพนักงานภูษามาลาเปิดผ้าคลุมพระอัฐิ ทรงเก็บพระอัฐิ สรงพระสุคนธ์ เชิญลงในพระโกศทองคำลงยาประดับเพชร โปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระอัฐิลงจากพระเมรุไปยังพระที่นั่งทรงธรรม เสด็จฯ ตาม ประทับที่อาสนสงฆ์

เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระอัฐิ ประดิษฐานในบุษบกเหนือพระแท่นแว่นฟ้า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระอัฐิ แล้วทรงประเคนโตกสำรับภัตตาหารสามหาบแด่พระสงฆ์ ๖ รูป

พระสงฆ์สามหาบ ฉันเสร็จแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ถวายเครื่องสังเค็ดงานพระราชทานเพลิงพระศพแด่พระสงฆ์ ๓๐ รูป ขึ้นนั่งยังอาสนสงฆ์ สวดมาติกา ทรงทอดผ้าไตรถวายพระสงฆ์ สดับปกรณ์พระอัฐิ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก กลับ

ลำดับถัดมา บริเวณหน้าที่นั่งทรงธรรม มีการตั้งขบวนพระอิสริยยศ เชิญพระโกศพระอัฐิ และพระสรีรางคารเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง โดยริ้วขบวนที่ ๔ อัญเชิญพระโกศพระอัฐิโดยพระที่นั่งราเชนทรยาน และพระสรีรางคารโดยพระวอสีวิกากาญจน์.

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พสกนิกร รับเสด็จฯ ในหลวง-ราชินีบำเพ็ญพระราชกุศล

พสกนิกร รับเสด็จฯ ในหลวง-ราชินีบำเพ็ญพระราชกุศล
ออกพระเมรุพระศพพระพี่นางฯในพระราชพิธีครั้งประวัติศาสตร์

พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในพระพิธี เผย พระพรหมเวที ถวายพระธรรมเทศนาในบทศราทธพรตคาถา เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯทรงสั่งสมอบรมอยู่ในความไม่ประมาท ทำให้พระองค์ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจได้สมบูรณ์ ขณะที่พสกนิกรแต่งกายชุดดำ-ขาวเฝ้าฯ รับเสด็จ แน่นขนัด

ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง เมื่อเวลา 17.55 น. วันที่ 14 พ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ไปยังพระบรมมหาราชวัง ในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เข้าทางประตูวิเศษไชยศรีและประตูพิมานไชยศรี

หลังจากนั้นรถยนต์พระที่นั่งเทียบที่ประตูกำแพงแก้ว ในเวลา 17.58 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทผ่านพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เฝ้าฯ ไปยัง ที่ประดิษฐานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะและเครื่องทองน้อยสักการะ ทรงกราบ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชา พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ที่หน้าพระแท่นราชบัลลังก์นพปฎลมหาเศวตฉัตรแล้ว

จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงถวาย พัดรองที่ระลึกงานออกพระเมรุพระศพฯ แด่สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ และพระพรหมเวที วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพฯ พระราชาคณะที่ถวายพระธรรมเทศนาและพระราชาคณะที่สวดศราทธพรต 30 รูป พระสงฆ์ที่จะสดับปกรณ์ 84 รูปเท่าพระชันษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ บรรพชิตจีนและญวน 20 รูป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรง จุดธูปเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทานให้เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปตั้งที่ธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ที่หน้าพระโกศพระศพสำหรับพระศพทรงธรรมและทรงศีลโดยมีพระพรหมเวที วัดไตรมิตรวิทยาราม ถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนาในบท “ศราทธพรตคาถา” แล้วพระสงฆ์ 30 รูป สวดศราทธพรตจบ

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตรถวายพระพรหมเวที และพระสงฆ์ที่สวดศราทธพรต 30 รูป สดับปกรณ์ พระสงฆ์ทั้งนั้นถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลาแล้วพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ 84 รูปเท่าพระชันษา ขึ้นนั่งอาสนสงฆ์ สวดมาติกาจบ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตรและย่ามที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระสงฆ์ 84 รูปสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลาแล้วบรรพชิตจีนและญวน 20 รูป ขึ้นนั่งยังอาสนสงฆ์ สวดมาติกา จบแล้ว ต่อด้วยทรงทอดผ้าไตรและย่ามที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงพระศพ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งทักษิโณทก บรรพชิตจีนและญวน สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายพระพรลา

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปที่แท่นเพดานเบญจาพระพิธีธรรมตั้งอยู่ด้านตะวันออกและตะวันตก ณ มุขกระสัน ทรงจุดธูปเทียน เครื่องบูชากระบะมุกที่หน้าพระแท่นพระสวดอภิธรรม พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมจนถึงเวลา 24 นาฬิกา รุ่งขึ้นรับพระราชทานฉันและชาวพนักงานประโคมสังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ ประจำยามตามราชประเพณี จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับในเวลา 20.50 น.

สำหรับบทพระธรรมเทศนา โดยพระพรหมเวที วัดไตรมิตรวิทยาราม มีใจความสำคัญว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจที่สำคัญนานัปการที่เป็นประโยชน์ต่อพสกนิกรและพระพุทธศาสนาด้วยพระวิริยะอุตสาหะสูงยิ่ง สำหรับศราทธพรตคาถาที่อัญเชิญมาเป็นนิกเขปบทแห่งเทศนานี้ว่า อปปมตโต อุโภ อตเถ อธคณหาติ ปณฑิโต เป็นอาทิความว่า ผู้รู้ไม่ประมาทแล้วสามารถยึดประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์ในโลกหน้าทั้งสองได้และเพราะยึดประโยชน์ทั้งสองอย่างไว้ได้จึงเรียกว่าเป็นบัณฑิตดังนี้

ความไม่ประมาท ในศราทธพรตคาถานี้ หมายถึงความมีสติ ระลึกได้ก่อนจะทำจะพูดจะคิด มีความรู้สึกนึกคิดในการสร้างคุณความดี ในการสร้างสิ่งที่เป็นคุณ สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นคุณธรรมฝ่ายดีที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีในกิจการทุก ๆ อย่าง เพราะเป็นคุณธรรมที่ช่วยอำนวยให้สัมฤทธิ์ได้ทั้งทางโลกทางธรรม ในทางโลกถ้าไม่ประมาทในทรัพย์สินจะเกิดความมั่นคง ถ้าไม่ประมาทในชีวิตทำให้รู้จักรักษาสุขภาพ ถ้าไม่ประมาททางการศึกษาจะสำเร็จได้ตามที่มุ่งหวัง ถ้าไม่ประมาทในการทำงานก็จะทำให้รุ่งเรือง

สำหรับทางธรรมนั้นผู้ที่มุ่งประกอบความดีด้วยการถวายทานรักษาศีลและเจริญจิตตภาวนา เมื่อสมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทแล้วการ ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น ๆ ดำเนินไปโดยชอบ ความไม่ประมาทเป็นคุณธรรมที่มีคุณานิสงค์อเนก อนันต์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงสั่งสม อบรมอยู่ในพระคุณธรรมทำให้พระองค์ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติจำนวนมาก แม้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วแต่พระเกียรติคุณที่ทรงบำเพ็ญไว้ยังคงอยู่ตลอดไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพัดรองที่ระลึก ผ้ากราบและย่ามสีดำที่ระลึกฯ ถวายพระเทศน์ 1 รูป พระสวดศราทธพรต 30 รูป และบรรพชิตจีนและญวน 20 รูป พระสงฆ์สดับปกรณ์ 84 รูป พระพิธีธรรม 8 รูป รวม 143 ชุด และจัดถวายพระพิธีธรรม 10 วัด ได้แก่ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดราชสิทธาราม วัดระฆังโฆสิตาราม วัดอนงคาราม วัดประยุรวงศาวาส วัดสระเกศวรวิหาร วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และวัดสุทัศนเทพวราราม ส่วนพัดรองที่ระลึก สีดำ ไม่มีย่ามและผ้ากราบ ทำถวายพระอารามหลวง 16 วัด ในวันที่ 17 พ.ย. 51 พระราชกุศลพระอัฐิ พัดรองที่ระลึก ผ้ากราบและย่ามสีแดง ถวายพระสวดพระพุทธมนต์ 30 รูป พระเทศน์ 1 รูป พระรับอนุโมทนา 4 รูป และพระสดับปกรณ์ 10 รูป รวม 45 ชุด

สำหรับพัดรองที่ระลึก ประกอบด้วยตราประจำพระองค์เป็นอักษรพระนาม ก.ว. ภายใต้พระเกี้ยว หมายถึงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ อักษรพระนามปักไหมสีทองบนพื้นสีฟ้า, พระเกี้ยวปักดิ้นทอง ผสมเลื่อม, พระสัปตปฎลเศวตฉัตรหมายถึงพระอิสริยยศที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ได้รับพระราชทาน ฉัตรปักไหมสีขาว, ขอบระบายฉัตร อุบะและยอดปักไหมสีทอง สายสร้อยห้อยดวงตรามหาจักรีหมายถึงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ เป็นพระบรมวงศ์ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งสายสร้อยและตรามหาจักรีปักไหมสลับตามสี

ฉัตร 5 ชั้นเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ฉัตรปักด้วยไหมสีขาวส่วนขอบระบายยอด ริบบิ้น ปักไหมสีทอง, ขอบระบาย ยอด ริบบิ้นปักไหมสีเหลือง และสายดอกไม้ปักดิ้นสลับไหม สำหรับพื้นกำมะหยี่ดำขอบกุ๊นผ้าสีแดง ใช้ในการพระราชพิธีออกพระเมรุและพื้นกำมะหยี่แดงขอบกุ๊นผ้าสีดำหรือน้ำเงินเข้มใช้ในงานพระราชกุศลพระอัฐิ

สำหรับบรรยากาศภายในพระบรมมหาราชวัง ในบริเวณสนามหญ้าหน้าศาลาสหทัยสมาคม มีประชาชนแต่งกายไว้ทุกข์สีดำจำนวนมากเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระ บรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระ องค์ที่เสด็จฯ โดยระหว่างที่รอเฝ้าฯ รับเสด็จนั้น สำนักพระราชวังได้เปิดเพลงพญาโศกซึ่งเป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบการเดินริ้วขบวนพระอิสริยยศคลอเบา ๆ.

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รายชื่อวัดที่ถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชทาน เพลิงพระศพพระพี่นางฯ


รายชื่อวัดและสถานที่ถวายดอกไม้จันทน์ภาคประชาชนทั่วประเทศในงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง


นายสด แดงเอียด อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวถึงรายชื่อวัดและสถานที่ถวายดอกไม้จันทน์ภาคประชาชนทั่วประเทศในงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

นายสด กล่าวว่า พื้นที่ที่จัดให้ประชาชนได้ถวายดอกไม้จันทน์นั้น ในเขตกรุงเทพมหานครมีทั้งหมด 46 แห่ง ได้แก่ วัดคลองเตยใน เขตคลองเตย วัดอนงคารามวรวิหาร เขตคลองสาน วัดคู้บอน เขตคลองสามวา วัดบุญศรีมุนีกรณ์ เขตคันนายาว วัดเสมียนนารี เขตจตุจักร วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เขตจอมทอง วัดดอนเมือง เขตดอนเมือง วัดพรหมวงศาราม เขตดินแดง วัดรัชฎาธิษฐาน เขตตลิ่งชัน วัดปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา วัดทุ่งครุ เขตทุ่งครุ วัดเวฬุราชิณวรวิหาร เขตธนบุรี วัดเจ้าอาม เขตบางกอกน้อย วัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ วัดเทพลีลา เขตบางกะปิ วัดเลา เขตบางขุนเทียน วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน วัดราชสิงขร เขตบางคอแหลม วัดมัชฌันติการาม เขตบางซื่อ

วัดบุณยประดิษฐ์ เขตบางแค วัดบางนาใน เขตบางนา วัดนินสุขาราม เขตบางบอน วัดวิมุตยาราม เขตบางพลัด วัดมหาพฤฒาราม เขตบางรัก วัดนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน วัดกระทุ่มเสือปลา เขตประเวศ วัดไผ่ตัน เขตพญาไท วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร เขตพระโขนง วัดจันทร์ประดิษฐาราม เขตภาษีเจริญ วัดบำเพ็ญเหนือ เขตมีนบุรี วัดปริวาส เขตยานนาวา วัดดิสหงสาราม เขตราชเทวี วัดราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ วัดสุทธาโภชน์ เขตลาดกระบัง วัดสาครสุ่นประชาสรรค์ เขตลาดพร้าว วัดบึงทองหลาง เขตวังทองหลาง วัดธาตุทอง เขตวัฒนา วัดยาง เขตสวนหลวง วัดราชโยธา เขตสะพานสูง วัดยานนาวา เขตสาทร วัดอยู่ดีบำรุงธรรม เขตสายไหม วัดอุดมรังสี เขตหนองแขม วัดหนองจอก เขตหนองจอก วัดหลักสี่ เขตหลักสี่ วัดอุทัยธาราม เขตห้วยขวาง

ขณะที่ในส่วนภูมิภาคทั้ง 75 จังหวัด จังหวัดจัดสถานที่ให้ประชาชนได้ถวายดอกไม้จันทน์ตามวัดหลักในเขต อ.เมือง ดังนี้ วัดแก้วโกรการาม จ.กระบี่ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม จ.กาญจนบุรี วัดประชานิยม จ.กาฬสินธุ์ หน้าที่ว่าการอำเภอเมือง จ.กำแพงเพชร วัดหนองแวง จ.ขอนแก่น วัดไผ่ล้อมจ.จันทบุรี วัดปิตุลาธิราชสังสฤษฎิ์ จ.ฉะเชิงเทรา วัดเขาบางทราย จ.ชลบุรี วัดศรีวิชัยวัฒนาราม จ.ชัยนาท วัดทรงศิลา จ.ชัยภูมิ วัดชุมพรรังสรรค์ จ.ชุมพร วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย วัดกะพังสุรินทร์ จ.ตรัง วัดไผ่ล้อม จ.ตราด วัดเขาแก้ว จ.ตาก วัดอุดมธานี จ.นครนายก วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช หน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา วัดนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร จ.นนทบุรี วัดพระธาตช้างค้ำ จ.น่าน วัดกลาง จ.บุรีรัมย์ วัดเสด็จ จ.ปทุมธานี วัดเสด็จ จ.ประจวบคีรีขันธ์ วัดคลองวาฬ จ.ปราจีนบุรี วัดนิกรชนาราม จ.ปัตตานี

วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา วัดศรีโคมคำ จ.พะเยา วัดประพาสประจิมเขต (วัดถ้ำพุงช้าง) จ.พังงา วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง วัดท่าหลวง จ.พิจิตร วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก วัดคงคารามวรวิหาร จ.เพชรบุรี วัดมหาธาตุ จ.เพชรบูรณ์ วัดพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง วัดวิชิตสังฆาราม จ.ภูเก็ต วัดมหาชัย จ.มหาสารคาม วัดป่าศิลาวิเวก จ.มุกดาหาร วัดจองคำ จ.แม่ฮ่องสอน วัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร วัดพุทธภูมิ จ.ยะลา วัดบึงพระลานชัยจ.ร้อยเอ็ด วัดสุวรรณคีรีวิหาร จ.ระนอง วัดป่าประดู่ จ.ระยอง วัดมหาธาตุวรวิหาร จ.ราชบุรี วัดเสาธงทอง จ.ลพบุรี วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม จ.ลำปาง

วัดพระธาตุหริภุญไชยวรมหาวิหาร จ.ลำพูน วัดศรีสุธาวาส จ.เลย วัดมหาพุทธาราม จ.ศรีสะเกษ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร วัดแหลมทราย จ.สงขลา วัดชนาธิปเฉลิม จ.สตูล ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร จ.สมุทรสงคราม วัดเจษฎาราม จ.สมุทรสาคร วัดสระแก้ว จ.สระแก้ว วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี วัดหนองโว้ง จ.สุโขทัย วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จ.สุพรรณบุรี วัดกลางใหม่ จ.สุราษฎร์ธานี วัดศาลาลอย จ.สุรินทร์ วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย วัดพิศาลอัญญาวาส จ.หนองบัวลำภู

วัดอ่างทองวรวิหาร จ.อ่างทอง วัดสำราญนิเวศ จ.อำนาจเจริญ สนามทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี วัดคลองโพธิ์ จ.อุตรดิตถ์ วัดมณีสถิตกุฏิฐาราม (วัดทุ่งแก้ว) จ.อุทัยธานี วัดสุปัฐนารามวรวิหาร จ.อุบลราชธานี นอกจากนี้แต่ละจังหวัดยังได้กระจายพื้นที่การถวายดอกไม้จันทน์ตามอำเภอต่างๆ ซึ่งจังหวัดจะแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบว่ามีพื้นที่ใดบ้าง ส่วนขั้นตอนการประกอบพิธีให้ยึดตามพระราชพิธีในส่วนกลางจากการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์เป็นเกณฑ์ เพื่อให้การจัดพิธีเป็นขั้นตอนสมพระเกียรติที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จับเสือโคร่งหลุดกรงได้แล้ว

เมื่อ เวลา 11.30 น. วันที่ 11 พ.ย. นายวินันท์ วิระนะ หัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ได้รับแจ้งว่าพบ “เจ้าศิลาทอง” เสือโคร่งเพศผู้ อายุ 20 ปี ที่หลุดออกจากกรงเลี้ยงไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา และทำร้ายคนเลี้ยงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย กำลังเดินอยู่ในหุบเขาด้านหลัง ห่างจากกรงเลี้ยงประมาณ 500 เมตร โดยเจ้าหน้าที่พยายามบีบพื้นที่ ด้วยการนำรั้วตาข่ายมาขึงไว้เพื่อให้เจ้าศิลาทองลงมากินอาหารที่วางล่อไว้ในกรง แต่เจ้าศิลาทองไม่ยอมลงมากิน สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้กำลังเจ้าหน้าที่กว่า 50 นาย แบ่งเป็นชุด ๆ พยายามเข้าไปใกล้ในระยะที่สามารถยิงลูกดอกยาสลบได้ จนกระทั่งสามารถยิงยาสลบแล้วควบคุมตัวเสือโคร่งไว้ได้ในสภาพร่างกายอิดโรยและซูบผอม เนื่องจากอาจกินอาหารได้ไม่เต็มที่เพราะพื้นที่ถูกจำกัด ทางสัตวแพทย์ต้องรีบให้น้ำเกลือและวิตามินกับเจ้าศิลาทองเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น.

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บุกซัลโวนศ.อุเทน พลาดโดนจุฬา-ตอ

เวลา 16.00 น. วันที่ 11 พ.ย. ร.ต.ท.ณรงค์ชัย เสนาพรหม พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ปทุมวัน รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บบริเวณริมถนนพญาไท หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตตะวันออกอุเทนถวาย ใกล้แยกจุฬาซอย 12 แขวงและเขตปทุมวัน กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น แล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง




ที่เกิดเหตุพบเพียงกองเลือด และปลอกกระสุน .38 ซุปเปอร์ ตกอยู่หลายปลอก ส่วนผู้บาดเจ็บ มีพลเมืองดีนำ ส่ง รพ.จุฬาฯ ทราบชื่อ น.ส.ณัชชา อมรรัตนเจริญ อายุ 20 ปี นิสิตคณะเภสัชศาสตร์ ปี 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกยิงเฉี่ยวสีข้างด้านซ้าย 1 นัด น.ส.วนัสนันทน์ สุขุมาลพันธ์ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.4 ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา มีบาดแผลข้อเท้าซ้ายถลอก ส่วน น.ส.กฤตพร ประภัศร อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.4 ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา ถูกยิงเข้าที่ต้นขาซ้ายกระดูกแตกกระสุนฝังใน อีกรายถูกนำส่ง รพ.ตำรวจ ทราบชื่อ น.ส.คุณงาม บุญยโตพันธ์ อายุ 15 ปี เพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกันบาดเจ็บเล็กน้อย




นายรุ่งเรือง เรืองรอง อายุ 40 ปี พยานที่เห็นเหตุการณ์เล่ารายละเอียดว่า กำลังขับรถกลับบ้านพักมาติดสัญญาณไฟแดงอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ระหว่างที่มีสัญญาณไฟเขียวรถได้เคลื่อนตัวออกจึงสังเกตเห็นชาย 2 คนขี่ รถ จยย. ไปจอดตรงหน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นคนซ้อนท้ายสวมเสื้อแจ็กเกตสีดำ กางเกงยีนส์ หมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ ได้เดินลงมาชักปืนยิงเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัย ที่ขณะนั้นมีนักศึกษาอุเทนถวายอยู่ด้วย แต่กระสุนพลาดไปโดนนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา และนิสิตสาวจุฬาฯ ที่เดินผ่านมาพอดี




ด้าน ส.ต.อ.วิรัช มหัทธนวิบูล ผบ.หมู่ จร.สน. ปทุมวัน ปฏิบัติงานอยู่ภายในป้อมจราจรใกล้ที่เกิดเหตุเปิดเผยว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด และมียินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อหันไปดูพบเด็กนักเรียนโดนยิง จึงเรียกพลเมืองดีช่วยกันอุ้มมาที่ป้อมเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนมือปืนนั่งซ้อนท้าย จยย.ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นโซนิค สีดำ ทะเบียน มอก 427 กรุงเทพมหานคร หนีมุ่งหน้าไปทางสามย่าน ตำรวจออกวิทยุสกัดจับ แต่ไร้วี่แวว คาดว่าจะเป็นนักศึกษาคู่อริต่างสถาบันตามมาดักยิงระบายแค้น ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เผลอใส่เกียร์ถอยหลัง ชนเมียสยอง ลูกลอด

ใส่เกียร์เผลอสตาร์ทรถพุ่งพรวดเร่งซ้ำ-ชนเมียสยอง
ทะลุยผนังบ้านอัดก๊อปปี้ตายคร่อมร่างลูก-รอดปาฏิหาริย์

ผัวขี้ลืมฆาตกรรมเมียรักโดยไม่ได้ตั้งใจถอยรถสปอร์ตไรเดอร์คู่ใจออกมาล้างทำความสะอาดหน้าบ้าน เสร็จสรรพจะขับเข้าไปจอดในบ้านเหมือนเดิมพอสตาร์ทปุ๊บรถพุ่งพรวด เพราะดันลืมไปว่าใส่เกียร์ไว้เท่านั้นยังไม่พอแทนที่จะเหยียบเบรกกลับตกใจไปเหยียบคันเร่งรถเลยพุ่งทะลุผนังบ้านชนเมียอัดก๊อบปี้กับห้องน้ำตายอนาถ ขณะที่ลูกชาย 13 ปี รถขับคร่อมร่างรอดปาฏิหาริย์

เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 9 พ.ย. พ.ต.ต.วินัย ตระกูลไทย สารวัตรเวร สภ.บ้านบึง จ.ชลบุรี รับแจ้งอุบัติเหตุรถชนคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้ถูกนำส่งไปรักษาตัวที่ รพ.บ้านบึงแล้ว หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบที่รพ. พบว่าผู้บาดเจ็บได้เสียชีวิตลงแล้ว ทราบชื่อต่อมาว่า นาง สุนีย์ ปิ่นทองคำ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/2 หมู่ 4 ต.บ้านบึง สภาพศพคอหัก กระดูกหักทั่วร่าง และศีรษะแตกเป็นแผลฉกรรจ์ โดยมี นายสุรพล สุขเจริญ อายุ 44 ปี ผู้เป็นสามี กอดศพร่ำไห้อย่างน่าเวทนา นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 1 รายคือ ด.ช.เฉลิมพร สุขเจริญ อายุ 13 ปี บุตรชายผู้ตาย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่มือขวา

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่นายสุรพลและนางสุนีย์ สองสามีภรรยา ซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.บ้านบึง ได้พักผ่อนอยู่บ้านเนื่องจากเป็นวันหยุด นายสุรพลได้ถอยรถโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ สีเขียวอ่อน หมายเลขทะเบียน กต 8039 ชลบุรี ซึ่งเป็นรถเกียร์ธรรมดา ออกมาจอดหน้าบ้านเพื่อล้างทำความสะอาด โดยได้ใส่เกียร์ไว้ที่ตำแหน่งเกียร์ 1 เพื่อป้องกันไม่ให้รถเคลื่อน

พอเสร็จสรรพเรียบร้อยนายสุรพลก็จะขับรถเข้าไปจอดในบ้านเหมือนเดิม ทันทีที่นาย สุรพลสตาร์ตเครื่อง โดยลืมไปว่าได้ใส่เกียร์ไว้ รถจึงพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรงทันที ด้วยความตกใจแทนที่นายสุรพลจะเหยียบเบรกกลับไปเหยียบคันเร่ง ทำให้รถพุ่งพรวดทะลุผนังบ้านเข้าไปชนร่างของนางสุนีย์ ผู้เป็นภรรยา ขณะกำลังยืนดูทีวีอยู่อย่างแรง จนร่างกระเด็นไปอัดก๊อบปี้กับผนังห้องน้ำ ส่งผลให้เสียชีวิตอนาถดังกล่าว

ขณะที่ ด.ช.เฉลิมพร ลูกชาย ซึ่งนอนดูทีวีอยู่รอดตายราวปาฏิหาริย์ เนื่องจากรถขับคร่อมร่างผ่านไปอย่างฉิวเฉียด ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อกล่าวหานายสุรพลว่า ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ก่อนควบคุมตัวส่งดำเนินคดีต่อไป.

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แย่งจีบสาวHi5 นัดเครียร์ 4โจ๋ยิงอริตาย1


เขม่นแย่งจึบสาวในเว็บดัง ไฮไฟว์
4 โจ๋ยิงอริตาย-เจ็บ ตร.ตามรวบยกชุด

เขม่นแย่งจีบสาวกันใน"ไฮไฟว์"แชตท้าดวลปืน ถึงเวลานัดหมายกลุ่มมือปืนไม่มา แต่แอบขับรถเก๋งตามหลัง สบโอกาสชักทูตมรณะซัลโวใส่ไม่ยั้ง ผลดับ 1 เจ็บ 2 ก่อนหลบหนีโปลิศโชว์ฟอร์มเจ๋ง สืบจากเน็ต ตามลากคอ 4 โจ๋โหด ทันควัน

รวบ 4 โจ๋โหดรายนี้เปิดเผยขึ้น เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พ.ย. ที่ห้องประชุม สภ.เมืองพิษณุโลก พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง ผบช.ภ.6 พล.ต.ต.ธรรมนูญ เพชรบุรีกุล ผบก. ภ.จว.พิษณุโลก พ.ต.อ.ประเสริฐ กาฬรัตน์ รองผบก. พ.ต.อ.ไพโรจน์ แก้ววัน ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่น มีผู้ต้องหา 4 ราย คือ นายเชน (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี มือปืนที่ก่อเหตุ นายโย (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี นายโก้ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี และ นายโบน (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ทั้งหมดเป็นนักเรียนชั้น ม. 5 โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.พิษณุโลก พร้อมของกลางรถเก๋งฮอนด้า ซิตี้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน กค 8181 พิษณุโลก

ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อกลางดึกวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ร่วมกันก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิง นายณัฐพงศ์ กาญจนจินดาพล อายุ 16 ปี อยู่บ้านเลขที่ 123/22807 หมู่ 2 ต.อรัญญิก อ.เมืองพิษณุโลก จนเสียชีวิตและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 รายก่อนหลบหนีไป โดยเหตุเกิดที่หน้าร้านบัวคลีเฟอร์นิเจอร์ ถนนธรรมบูชา หมู่ 8 ต.หัวรอ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก และชุดสืบสวน สภ.เมือง ร่วมกันสืบสวนจนทราบเบาะแส จากข้อความในโปร แกรมไฮไฟว์ของนายแม๊ก (นามสมมุติ) เพื่อนใน กลุ่มของผู้ตาย โดยผู้ตายได้ติดต่อกับ น.ส.แพท (นามสมมุติ) อยู่ใน จ.สุโขทัย ทางโปรแกรมไฮ ไฟว์ดังกล่าว

ขณะเดียวกัน นายเชน มือปืนที่ก่อเหตุก็ได้ติดต่อกับ น.ส.แพท ด้วยเช่นกัน จนมีการแชตท้าทายและนัดให้มาเคลียร์ปัญหากัน กระทั่งก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายได้โทรศัพท์ไปคุยกับน.ส.แพท โดยนายเชน ก็ได้โทรศัพท์ไปหา น.ส.แพท ด้วย น.ส.แพท จึงได้กดโทรศัพท์แบบประชุมสาย 3 คน เพื่อให้ผู้ตายและมือปืนได้พูดคุยตกลงกัน ทั้งคู่จึงได้มีการท้าทายและนัดหมายไปดวลปืนกันที่หน้าร้านสะดวกซื้อใกล้ที่เกิดเหตุ พอถึงเวลานัดกลุ่มผู้ตายกับเพื่อนได้ขี่รถ จยย.ไปรอที่นัดหมายแต่ไม่พบนายเชน จึง ได้พากันขี่รถกลับบ้านพัก เมื่อมาถึงหน้าร้านบัวคลีเฟอร์นิเจอร์ ได้ถูกนายเชน พร้อมพวกซึ่งขับรถเก๋งฮอนด้า ตามหลังมาใช้อาวุธปืนยิงใส่จนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป.

รุมฆ่าสยอง ตัวประกอบ คนร้ายเป็นชู้เมียน้อย


เมื่อเวลา 00.10 น. คืนวันที่ 8 พ.ย. ร.ต.ท.เรวัตร สิริตื้นลี ร้อยเวร สภ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ รับแจ้งมีเหตุคนถูกฆ่าตายข้างบ้านเลขที่ 164/6 หมู่ 8 ต.สายลำโพง อ.ท่าตะโก จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.มนตรี จินดา ผกก. พ.ต.ท.อาชวิน สิงหะผลิน รอง ผกก.สส.บก.ภ.จ.นครสวรรค์ พ.ต.ต.เจษฎา ถาวรผล สว.สป. นำกำลังรุดไปตรวจสอบ

บริเวณพงหญ้าห่างจากบ้านหลังดังกล่าวประมาณ 50 เมตร พบศพนายถนอม หรือถนอมไชย มิ่งขวัญ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51 หมู่ 7 ต.ท่าไม้ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี นอนหงายจมกองเลือด สภาพศพมีบาดแผลถูกฟันที่ศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์รวม 3 แห่งจนหนังศีรษะเปิดมองเห็นกะโหลกขาวโพลน แขนซ้ายถูกฟันหวิดขาดห้อยร่องแร่ง ส่วนแขนขวาถูกสับเป็นแผลเหวอะหวะ 3 แห่ง นิ้วชี้มือขวาถูกตัดขาดกระเด็นตกอยู่ข้างศพ ลำตัวและแผ่นหลังถูกฟันเป็นแผลลึกอีก 3 แห่ง เสียชีวิตมาไม่เกิน 1 ชม. ห่างไปประมาณ 10 เมตร ยังพบรถปิกอัพมิตซูบิชิสตราด้า สีดำ ทะเบียน ณฮ 5069 กรุงเทพมหานคร ของผู้ตายจอดดับเครื่อง กุญแจยังเสียบคาที่ไขสตาร์ตแต่ไม่ได้ปิดล็อกประตู

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้ตายเป็นคนต่างถิ่นและมีครอบครัวอยู่แล้ว แต่มาได้ น.ส.นุชนาฏริย์ บัวชื่น วัย 18 ปีเป็นภรรยาน้อย มีการจัดขันหมากมาสู่ขอตบแต่งอย่างเป็นทางการเมื่อ 4-5 เดือนก่อน ทุกสัปดาห์จะกลับมาอยู่กับ น.ส.นุชนาฏริย์ที่บ้านเกิดเหตุ ล่าสุดผู้ตายแอบสืบรู้มาว่า น.ส.นุชนาฏริย์ปันใจลอบคบหาอยู่กับนายอนุศรณ์ หรือตู่ บุญชู อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/5 หมู่ 6 ต.สายลำโพง อ.ท่าตะโก จึงมาดักซุ่มเฝ้ารอดูอยู่หลายวัน

ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเห็นนายอนุศรณ์เดินออกจากบ้านของ น.ส.นุชนาฏริย์ จึงลงจากรถไปเคาะประตูเรียก น.ส.นุชนาฏริย์ให้ออกมาพบ แต่ น.ส.นุชนาฏริย์กลัวไม่ยอมออกมาเปิดประตูรับ ผู้ตายจึงอาละวาดใช้ก้อนหินปาใส่หลังคาบ้าน ฝ่าย น.ส.นุชนาฏริย์รีบโทรศัพท์ไปตามนายอนุศรณ์ให้มาช่วย นายอนุศรณ์จึงพาพวกนับสิบคนพร้อมอาวุธมีดครบมือบุกมารุมทำร้ายนายถนอมหรือถนอมไชยที่พยายามวิ่งหนีเอาตัวรอดแต่ไม่พ้น ถูกรุมฟันร่างเละเสียชีวิตคาที่ก่อนจะแยกย้ายกันหลบหนีไป ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัว น.ส.นุชนาฏริย์ไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่โรงพัก เพื่อหาเบาะแสกลุ่มคนร้ายรวมทั้งกันตัวไว้เป็นพยานด้วย

ต่อมาเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.มนตรี จินดา ผกก.สภ.ท่าตะโก พร้อมกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 71/5 หมู่ 6 ต.สายลำโพง จับกุมนายอนุศรณ์ บุญชู ได้เป็นคนแรก ก่อนจะขยายผลตามจับนายฉัตรชัย ศรีสงคราม อายุ 24 ปี นายกำธร จินดา อายุ 18 ปี และนายสุริยา สีนวล อายุ 19 ปี ส่วนพวกที่เหลืออีก 5 คน คือ 1.นายสิงห์คำรณ อุ่นอ่อน 2.นายธวัชชัย สุขน้อย 3.นายศรัณย์ มีศรี 4.นายนราธิป ศรีดาวงษ์ และ 5.นายสถาพร ลาภคุณจริง ไหวตัวทันหลบหนีไปได้หวุดหวิด ยึดได้ ของกลางเป็นมีดดาบยาว 4 เล่ม เสื้อผ้าเปื้อนเลือดอีก 2 ชุด คุมตัวทั้ง 4 คนมาสอบสวน ให้การรับสารภาพ สำหรับผู้ต้องหาอีก 5 คนอยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติออกหมายจับต่อไป

วันเดียวกันเมื่อเวลา 14.00 น. นางทองคำ มิ่งขวัญ วัย 72 ปี มารดาของนายถนอม หรือถนอมไชย พร้อมด้วยนางทองสุข ดีแสง อายุ 46 ปี ภรรยาหลวงและลูกสาวอีก 3 คน เดินทางมาติดต่อขอรับศพนายถนอมที่ รพ.ท่าตะโก โดยนางทองสุขระบุว่า ผู้ตายเคยทำงานเป็นคนขับรถให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก่อนจะลาออกไปเป็นดาราตัวประกอบภาพยนตร์ ชื่อดังหลายเรื่อง เช่น “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” “เหล็กไหล” และ “อังกอร์ 2” จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างของบริษัทแห่งหนึ่ง สำหรับเรื่องที่แอบมามีภรรยาน้อยที่ จ.นครสวรรค์นั้น ทางครอบครัวไม่มีใครทราบ รู้แต่ว่าผู้ตายเดินสายตรวจไซต์งานก่อสร้างหลายแห่งในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง นานๆครั้งถึงจะกลับบ้านที่ จ.ปทุมธานี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขอให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดติดตามกลุ่มคนร้ายที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีให้ได้ ส่วนศพของนายถนอม ญาตินำกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดหน้าไม้ ต.หน้าไม้ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

*ลอยกระทง* วัยรุ่นนิยมเสียตัว 43%


โพลชี้ *ลอยกระทง* วัยรุ่นนิยมเสียตัว 43%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 พ.ย.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีการแถลงข่าว “โครงการลอยกระทงสร้างสุข สุขใจ ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์” โดย ทพ. กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ รองผู้จัดการ สสส. เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจของเอแบคโพล เรื่อง “ความคิดเห็นต่อเทศกาลวันลอยกระทงปี 2551”ในประชาชนอายุ 12 - 45 ปี จำนวน 2,411 ตัวอย่างจาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 20 – 31 ต.ค. พบว่า กลุ่มตัวอย่างประชาชน 50.1 % มีความตั้งใจที่จะร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลลอยกระทงในปี 2551 นี้ โดยกิจกรรมที่ตั้งใจกระทำมากที่สุดคือ ลอยกระทง ชมการประกวดกระทง ชมการประกวดนางนพมาศ ชมการแสดงบนเวที และการทำบุญตักบาตร ทั้งนี้ 44.1% ระบุว่าตั้งใจมีกิจกรรมต่อหลังจากการลอยกระทง อันดับแรก คือ จะนั่งรถเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ 59 % ร้องเพลง ฟังเพลง 28 % อยู่กับคนรักสองต่อสอง 14.1 % ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 11.5 % มีเพศสัมพันธ์ 5.4 % และแข่งรถกับกลุ่มเพื่อน 3 % ในกลุ่มคนที่ตั้งใจจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังการลอยกระทงระบุเหตุผลเพราะต้องการที่จะพบปะสังสรรค์ ปกติดื่มเป็นประจำ และต้องการคลายเครียด อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่าง 64.8 2 % เห็นด้วยกับการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา และวันประเพณีวัฒนธรรมไทย มีเพียง 18.8 % เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย

ทพ. กฤษดา กล่าวต่อว่า สำหรับความเชื่อเรื่อง “วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์” ในวันลอยกระทง กลุ่มตัวอย่าง 44.3 % เชื่อว่าวันลอยกระทงเป็นวันที่วัยรุ่นนิยมมีเพศสัมพันธ์กัน ในขณะที่ 13.3 % ไม่เชื่อ และ 42.4 % ไม่แน่ใจและไม่มีความเห็น ส่วนปัญหาที่กลุ่มตัวอย่างมีความกังวลในการลอยกระทงปี 2551 อันดับแรก คือ อุบัติเหตุบนท้องถนน 2.ปัญหาการจราจรติดขัด 3. อุบัติเหตุจากการละเล่น 4. อุบัติเหตุคนพลัดตกน้ำจมน้ำ และ5.การจี้ปล้นฉกชิงวิ่งราว เมื่อถามถึงพฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างมีความเป็นห่วงมากที่สุด คือ เยาวชนจับกลุ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มั่วสุมมอมเมา 2. การทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน 3.การเล่นประทัด ดอกไม้ไฟที่เสี่ยงอันตราย 4.การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ และ 5.แก๊งค์จักรยานซิ่งก่อกวน

“จากผลการสำรวจดังกล่าวนับเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อยสำหรับสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลสำคัญๆ ของไทยที่ทุกคนจะต้องร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามทั้งสร้างความประทับใจทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ ดังนั้นจึงถือเป็นนโยบายหลักของ สสส. และสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ในการร่วมกันรณรงค์ให้คนไทย ลด ละ เลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในทุกๆ งานประเพณีวัฒนธรรมและ เทศกาลต่างๆ ” ทพ. กฤษดา กล่าว

ด้าน นายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า พื้นที่หลักที่เข้าร่วม “โครงการลอยกระทงสร้างสุข สุขใจ ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์” ในปีนี้ ได้แก่ งานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ณ อุทยานประวัติศาสตร์ จ.สุโขทัย งานประเพณีเดือนยี่เป็ง จ.เชียงใหม่ วิถีแห่งสายน้ำวัฒนธรรมบางลำพู ณ สวนสาธารณะสันติชัยปราการ กรุงเทพฯ ลอยกระทงปลอดเหล้า ปี 2551 ณ เขตบางกอกใหญ่ งานลอยกระทงริมทะเล หัวหิน “สืบสาน 100 ปี” จ.ประจวบคีรีขันธ์ และในสถาบันการศึกษาต่างๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยนเรศวร

"พ.ต.ท."ลวงสาวเข้าโรงแรม แฟนเหยื่อเข้าช่วยทัน


พันตำรวจโทลวงสาววัย 25 เข้าโรงแรมหวังขยี้กาม แต่เหยื่อขัดขืน แอบโทรศัพท์บอกแฟนให้มาช่วยเหลือ จึงรอดจากเงื้อมืออย่างหวุดหวิด


(6พ.ย.) เวลา 05.30 น. พ.ต.ต.วิทยา ยืนยง สวป.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากนายอภิรักษ์ แต่งคู่ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58 ต.บ้านบึง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ว่า นางสาวจอย (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี แฟนสาวซึ่งคบหากันมานานกว่า 2 ปี ได้ถูกชายอื่นหลอกพาเข้าโรงแรม ชื่นรัก อินน์ ถนนพัทยาเหนือสาย 3 ม.6 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยแฟนสาวได้โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ หลังรับแจ้งจึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงโรงแรมดังกล่าวตำรวจได้เข้าตรวจสอบห้องพัก 205 ระหว่างที่ทำการเคาะประตู นางสาวจอย(นามสมมุติ) เปิดประตูวิ่งออกมาจากห้อง ในสภาพตื่นกลัว และร้องไห้ตลอดเวลา พร้อมเข้าโอบกอด นายอภิรักษ์ แต่งคู่ ทันทีพร้อมให้การว่า ก่อนเกิดเหตุไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง จากนั้นได้พบและรู้จักชายไทย ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นตำรวจ ยศ พ.ต.ท. สังกัดประจำอยู่จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีการพูดคุยกันถูกคอ และเมื่อร้านเลิกนายตำรวจรายนี้ได้ชักชวนไปเที่ยวต่อ ด้วยความที่ไม่คิดอะไร จึงตกลงและยอมนั่งรถมาด้วยกระทั่ง ถูกพาเข้าโรงแรมดังกล่าว

เมื่อไปถึงโรงแรม ตำรวจได้บังคับเข้าไปในห้อง จากนั้นก็พยายามข่มขืน แต่ตนไม่ยอมดิ้นขัดขืนตลอดเวลา ก่อนออกอุบายขอเข้าห้องน้ำ แล้วโทรศัพท์บอกแฟนหนุ่ม ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.บ้านบึง ให้มาช่วยเหลือ จากนั้นอีกประมาณ 1 ชม. จึงมีตำรวจมาทำการช่วยเหลือดังกล่าว

พ.ต.ต.วิทยา ยืนยง สภ.เมืองพัทยา เข้าไปทำการตรวจสอบชายไทย ภายในห้องพักดังกล่าว โดยยืนยันว่าเป็นตำรวจจริงมียศระดับ พ.ต.ท.ส่วนใหญ่เรียกว่า สารวัตรต่าย สังกัดตำรวจในเขต ภ.จว.ฉะเชิงเทรา เบื้องต้นนางสาวจอยไม่ติดใจเอาความ ตำรวจจึงไม่สามารถดำ เนินคดีได้ ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะแยกย้ายกันไป

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โอบามา นั่งปธน.สหรัฐผิวสีคนแรก!


สำนักข่าวท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า นายบารัค โอบามา วุฒิสมาชิก จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำชนะขาด คู่แข่งจากพรรครีพลับริกัน อย่าง นายจอห์น แมคเคน ด้วยผลคะแนนโหวตเลือกผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ 333 ต่อ 155

ด้าน นายแมคเคน แถลงยอมรับความพ่ายแพ้ ท่ามกลางประชาชนที่มาให้กำลังใจ หลังเกาะติดผลการเลือกตั้งพร้อมขอให้ทุกคนยอมรับและเดินไปข้างหน้า ทั้งยังกล่าวยกย่อง นางซาร่าห์ เพ ลิน ผู้ว่าการรัฐอะแลสกา คู่สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ว่าสามารถทำงานด้วยความห้าวหาญ

นายแมคเคน กล่าวต่อว่า ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายบารัค โอบามา เรียบร้อยแล้ว.

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จำคุก20ปี ตร.หื่นข่มขืนสาว16บนโรงพัก

สั่งจำคุก 2 ด.ต. 20 ปี รุมโทรมผู้ต้องหา [5 พ.ย. 51 - 04:16]

ที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 พ.ย. ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ด.ต.นุโลม แอ๊ดมา ด.ต.มงคล โททอง และ ด.ต.ผจลณ์ ตะโกนวน เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.เพชรเกษม เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276

โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 51 บรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 50 เวลา 21.00 น. จำเลยที่ 1-2 กับพวก ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ออย (ผู้เสียหาย) อายุ 16 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) และพาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลบางกอก อินเตอร์เนชั่นเนล พบสารเสพติดในร่างกาย จึงส่งพนักงานสอบสวน สน. เพชรเกษม ดำเนินคดี ก่อนนำผู้เสียหายไปควบคุมตัวในห้องผู้ต้องขังหญิง ต่อมาเมื่อเวลา 23.00 น. วันเดียวกัน จำเลยที่ 2 เบิกตัวผู้เสียหายออกจากห้องขังขึ้นไปที่ห้องสืบสวน ชั้นที่ 3 ของโรงพัก ก่อนที่จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 1 คนจะผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม และอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แต่จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

น.ส.ออยผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่า หลังจากถูกจับนำตัวเข้าไปขังในห้องผู้ต้องขังหญิง จำเลยที่ 2 เบิกตัวขึ้นไปที่ห้องฝ่ายสืบสวน ให้นั่งรอที่โซฟาแล้วเข้ามาลวนลาม ก่อนจะพาไปนอนที่เตียงเริ่มกระทำชำเรา มีจำเลยที่ 1 เป็นคนจับแขนผู้เสียหายไว้ และกระทำชำเราต่อ หลังจากนั้นยังมีอีก 2 คนที่มากระทำชำเราอีก แต่ ไม่สามารถระบุตัวได้ว่าเป็นใคร ต่อมาจำเลยที่ 1 พาไปล้างตัว พร้อมขู่ห้ามนำเรื่องไปบอกใคร วันรุ่งขึ้นจึงถูกนำตัวไปส่งฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ถูกนำไปคุมขังที่สถานแรกรับเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี นาน 9 วัน รู้สึกเจ็บอวัยวะเพศ เมื่อปรึกษากับนักพยาบาลและนักจิตวิทยา ตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง กระทั่งมารดาทราบจึงเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี (ปดส.)

โจทก์มีหลักฐานการตรวจของแพทย์พบร่องรอยฉีกขาดของอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ประกอบกับคำเบิก ความของนักพยาบาลและนักจิตวิทยาของบ้านปรานีสนับสนุนด้วย เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความตั้งแต่ก่อนและหลังถูกกระทำชำเรา การถูกข่มขืนเป็นเรื่องที่น่าอับอาย เชื่อว่าผู้เสียหายถูกกระทำชำเราจริง นักพยาบาล และ นักจิตวิทยายังเบิกความสอดคล้องกันว่า ผู้เสียหายมาขอคำปรึกษา เนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีค่า พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้เบิกความปรักปรำให้จำเลยต้องได้รับโทษ เชื่อว่า เบิกความไปตามจริง อีกทั้งขณะเกิดเหตุภายในห้องมีแสงสว่างเพียงพอ ผู้เสียหายย่อมจดจำใบหน้าของจำเลยได้ชัดเจน ไม่มีเหตุผลเพียงพอจะสร้างเรื่องขึ้นมา มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่ เห็นว่าผู้เสียหายไม่สามารถจดจำได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำชำเราด้วยหรือไม่ เพียงแต่

หลังจากถูกกระทำชำเรา ผู้เสียหายเดินออกมาจากเตียง เห็นจำเลยที่ 1-3 และตำรวจอีก 1 คน นั่งอยู่ในห้อง ทำ ให้เข้าใจว่า ถูกคนที่อยู่ในห้องทั้งหมดข่มขืน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำชำเราด้วย ส่วนที่จำเลยที่ 1-2 ต่อสู้ว่ามีเหตุโกรธเคืองกับมารดาของผู้เสียหาย และในการเบิกตัวผู้เสียหายออกจากห้องขังในเวลากลางคืนนั้น มีระเบียบที่ต้องให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ แม้มีระเบียบอยู่จริง แต่อาจสามารถเบิกตัวออกมาได้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่ สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิง ซึ่งมิใช่ ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย ลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี ปรับ 40,000 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ต่อมา จำเลยทั้ง 2 ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินมูลค่า 11.7 ล้านบาทยื่นขอประกันตัวไป

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ฆ่าสยองกรุง เสี่ยเงินกู้-เมีย


สังหารผัวเมียปล่อยเงินกู้หมกตึกแถว เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 3 พ.ย. พ.ต.ท.สง่า ปัญญา พงส. (สบ 2) สน.พระโขนง รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย ในตึกแถวเลขที่ 3 ซอยอ่อนนุช 12 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. รุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.อาจินต์ จารุวร รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ ผกก.สน.พระโขนง พ.ต.ท. รณชัย รอดลอย สว.สส. แพทย์นิติเวช รพ.จุฬาฯ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุเป็นตึกแถว 4 ชั้นครึ่ง ใช้เป็นที่พักอาศัย ประตูเหล็กม้วนทางเข้าชั้นล่างปิดล็อกคล้องด้วยแม่กุญแจใหม่เอี่ยม มีกลิ่นเน่าเหม็นของศพโชยคลุ้งออกมาอย่างรุนแรง เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้คีมตัดแม่กุญแจเข้าไปในห้องโถงชั้นล่าง พบศพ น.ส.รจนา พงษ์โสภิตา อายุ 48 ปี นอนหงายใกล้บันไดทางขึ้นชั้น 2 สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวลายดอก กางเกงยีนส์ มีบาดแผลถูกยิงราวนมซ้าย 1 นัด สภาพเน่าอืดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3-4 วัน ภายในห้องไม่พบร่องรอยการรื้อค้นหรือต่อสู้

นอกจากนี้ บริเวณชานพักบันไดชั้น 3 ขึ้นชั้น 4 ยังพบศพนายอนุศักดิ์ วรรณสกุล อายุ 38 ปี สามี น.ส.รจนา นอนตะแคงซ้าย สวมเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นสีฟ้า มีบาดแผลถูกยิงเข้ากลางหลัง 1 นัด ลักษณะคล้ายวิ่งหนีความตายขึ้นไปชั้น 4 แล้วถูกยิงตกลงมา สภาพศพขึ้นอืดเช่นกัน โดยไม่พบร่องการต่อสู้และปลอกกระสุนปืน

สอบสวนนายอนุวัฒน์ วรรณสกุล อายุ 42 ปี หัวหน้าฝ่ายจัดซื้อโรงแรมอิมพีเรียลธารา ซอยสุขุมวิท 76 ย่านพระโขนง พี่ชายนายอนุศักดิ์ผู้ตาย ให้การว่า น้องชายไม่ได้ทำงาน แต่มีอาชีพปล่อยเงินกู้กินดอกเบี้ย วงเงินตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านจำนวนหลายราย ส่วนภรรยา เป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี บริษัทราชบุรีพาวเวอร์ ในเครือสหยูเนี่ยน ซอยสุขุมวิท 56 แต่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องส่วนตัวของน้องชายมากนัก ส่วนใหญ่จะโทรศัพท์พูดคุยสารทุกข์ สุกดิบกัน ล่าสุดน้องชายขอยืมเงินจำนวนหนึ่งไปค้ำประกันธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไม่ทราบรายละเอียด โดยบอกว่าจะได้รับเงินคืนจำนวน 5 ล้านบาท ในวันที่ 31 ต.ค. แต่ไม่ได้ไปรับ ตนพยายามติดต่อ ก็ไม่สามารถติดต่อได้

พี่ชายเหยื่อฆาตกรรมโหดเผยต่อไปว่า ก่อนจะทราบเหตุร้าย ด.ต.สงัด กองแก้ว ผบ.หมู่งาน ป.สน. พระโขนง ซึ่งสนิทสนมกับผู้ตาย แวะไปเยี่ยมนายอนุศักดิ์ ที่บ้าน เห็นประตูปิดล็อกจากด้านนอกและได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากตึกแถวเกิดเอะใจโทรศัพท์ไปแจ้งให้ทราบ เมื่อมาดูพบว่าน้องชายกับ น.ส.รจนาถูกยิงเสียชีวิตแล้วหลายวัน ส่วนแม่กุญแจที่ล็อกไว้ลักษณะเพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยม คาดว่าคนร้ายเตรียมมา สำหรับทรัพย์สินที่หายไปของน้องชายคือสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 1 องค์ เงินสดยังไม่ทราบจำนวน และปืนพกขนาด .38 กับ 9 มม. อย่างละกระบอก

ด้าน พ.ต.อ.อาจินต์ จารุวร รอง ผบก.น.5 เปิดเผยว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นที่ผู้ตายปล่อยเงินกู้เป็นหลัก เท่าที่ทราบปล่อยเงินกู้นอกระบบจำนวนหลายล้านบาท มีลูกหนี้รายใหญ่ 4-5 คน กู้เงินไปคนละ 1-2 ล้านบาท มีทั้งที่ไว้ใจไม่ได้ทำสัญญากันและทำสัญญาไว้ วงเงินกู้รวมทั้งสิ้นประมาณ 10 ล้านบาท อาจเป็นการฆ่าล้างหนี้ ต้องตรวจสอบว่ามีใครบ้าง เพราะลักษณะคนร้ายต้องรู้จักกับผู้ตายและวางแผนสังหารมาอย่างดี เข้าไปพูดคุยกันภายในบ้านก่อนลงมืออย่างเลือดเย็น โดยเตรียมแม่กุญแจที่ซื้อมาใหม่คล้องปิดล็อกประตูหลังสังหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ตายระดมเงินทุนกับพรรคพวกทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อ-ขายเงินตราต่างประเทศด้วย โดยนัดหุ้นส่วนนำเงินลงขันไปหารือกันที่บ้านเป็นประจำ อาจเป็นการหักหลังกันเองก็เป็นได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล

เย็นวันเดียวกัน พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยความคืบหน้าว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งสาเหตุการตาย 2 ประเด็น เรื่องแรกเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือหักหลังกันเอง ระหว่างหุ้นส่วนที่ร่วมลงทุนซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กับอีกประเด็นลูกหนี้ที่กู้เงินนอกระบบจำนวนมากวางแผนมาฆ่าล้างหนี้ โดยเชื่อว่าคนร้ายต้องรู้จักสนิทสนมกับผู้ตายเป็นอย่างดี จึงเข้าไปพูดคุยในบ้านได้ เพราะจากการ ตรวจสอบรอบบ้าน ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ ขณะที่เพื่อนบ้าน ระบุว่าเห็น 2 ผัวเมียครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงเย็นวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา เชื่อว่าน่าจะถูกสังหารในคืนเดียวกัน เพราะมีฝนตกหนัก จึงไม่มีใครได้ยินเสียงปืน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบเบาะแสสำคัญว่าผู้ตายได้บอกกับเพื่อนๆว่าในวันที่ 31 ต.ค.นี้ จะได้เงินจำนวนหนึ่งประมาณ 4-5 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินไปปล่อยกู้ให้ลูกหนี้รายหนึ่ง เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าลูกหนี้รายนี้เป็นใคร โดยผู้ตายอาจจะนัดให้มารับเงินกู้ก้อนโต พอได้เงินก็ลงมือฆ่าผัวเมียเชิดเงินทั้งหมดหลบหนีไป

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ขับรถปาดหน้า ยิงดับคามอเตอร์เวย์

ระทึกขับรถปาดหน้ายิงดับคามอเตอร์เวย์
เหยื่อเป็นช่างพม่า!มือปืนสงสัยคนมีสี

โชเฟอร์ปิกอัพปืนโหด เจอปิกอัพอีกคันปาดหน้า ฉุนเลยไล่ยิง หนุ่มพม่าที่นั่งหน้าคู่คนขับรับเคราะห์ ดับสยองบนทางด่วนมอเตอร์เวย์ ที่จะมุ่งหน้าชลบุรี พบเบาะแสคนก่อเหตุน่าเป็นคนมีสี เผย เหยื่อเป็นช่างเครื่องแรงดันน้ำสูง อยู่ในบริษัทที่สิงคโปร์ จากนั้นบริษัทแม่ส่งผู้ตายกับเพื่อน มาทำงานที่บริษัทลูกในระยอง ทางบริษัทจึงให้คนรถขับรถไปรับมาที่ระยอง โดยผู้ตายนั่งหน้าซ้ายติดกระจก เพื่อนอีกคนนั่งกลาง ระหว่างทางเกิดขับรถไล่ปาดกัน จึงถูกกระสุนดับสลด ส่วนเพื่อนกับโชเฟอร์รอดหวุดหวิด

เมื่อเวลา 00.05 น. วันที่ 2 พ.ย. พ.ต.ท.ณัฐวัฒน์ จิตบุณย์กุลธร สวส.สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา รับแจ้งมีเหตุยิงกัน บนถนนมอเตอร์เวย์ กม.ที่ 39 ขาเข้าชลบุรี หมู่ 3 ต.พิมพา รุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.สายเพชร ศรีสังข์ ผกก. และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา ที่เกิดเหตุริมถนนพบรถปิกอัพโตโยต้า รุ่นวีโก้ แบบสองตอน สีบรอนซ์ ทะเบียน บย 8333 ระยอง ที่ข้างรถเขียนว่าบริษัทบอยเล่อร์ มาสเตอร์เอเชีย จำกัด และที่กระจกด้านซ้ายถูกกระสุนปืนแตกทั้งบาน บนเบาะนั่งข้างคนขับพบศพนายออง เทียมอร์ อายุ 31 ปี ชาวพม่า ถูกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดที่โหนกแก้มซ้าย 1 นัด

จากการสอบสวนนายประจวบ ชื่นเมือง อายุ 32 ปี คนขับรถคันดังกล่าวให้การว่า ผู้ตายทำงานเป็นช่างเครื่อง เกี่ยวกับแรงดันน้ำสูง อยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งที่ประเทศสิงคโปร์ โดยทาง บริษัทแม่ได้ส่งผู้ตาย ให้มาช่วยทำงานในบริษัทลูกที่อยู่ใน จ.ระยอง โดยผู้ตายและเพื่อนคนงานอีกคน ทราบเพียงชื่อนายซิกม่า ไม่ทราบนามสกุล อายุ 28 ปี ชาวอินเดีย เป็นช่างเหมือนกับผู้ตาย นั่งเครื่องบินจากสิงคโปร์มาลงที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย. ตนจึงขับรถไปรับผู้ตายกับนายซิกม่า เพื่อพาไปที่ จ.ระยอง โดยให้ผู้ตายนั่งข้างหน้าซ้ายมือติดกระจก ส่วนนายซิกม่านั่งตรงกลาง

นายประจวบให้การต่อว่า กระทั่งก่อนจะถึงด่านเก็บเงินลาดกระบัง มีรถปิกอัพโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ลักษณะคล้ายคนขับเมา ขับรถส่ายไปมาและแซงตนขึ้นไปข้างหน้า พอจ่ายเงินเสร็จ ตนเห็นรถคันดังกล่าวขับชะลอ ตนเลยเร่งเครื่องแซงไปข้างหน้า สักพักรถคันดังกล่าวขับไล่กวดหลังตนมา พร้อมกับยิงปืนใส่ 2 นัด ตนเลยเร่งเครื่องหลบหนี พร้อมกับโทรศัพท์แจ้งตำรวจ จนขับมาถึงที่เกิดเหตุ รถปิกอัพคู่กรณีขับแซงมาทัน ก่อนจะยิงปืนใส่อีก 1 นัด จากนั้นเร่งเครื่องหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ตนจึงจอดรถและพบว่านายออง ถูกกระสุนปืนเสียชีวิตแล้ว
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า รถทั้งสองคันคงจะขับแซงปาดหน้ากันไปมา จากนั้นรถคู่กรณี ที่คนขับเมา ชักปืนยิงใส่ก่อนจะหลบหนีไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่พอจะทราบแล้วว่า รถคู่กรณีคันที่ก่อเหตุเป็นคนมีสี อยู่ระหว่างเตรียมจะเชิญตัวมาสอบปากคำต่อไป.