วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จำคุก20ปี ตร.หื่นข่มขืนสาว16บนโรงพัก

สั่งจำคุก 2 ด.ต. 20 ปี รุมโทรมผู้ต้องหา [5 พ.ย. 51 - 04:16]

ที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 พ.ย. ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ด.ต.นุโลม แอ๊ดมา ด.ต.มงคล โททอง และ ด.ต.ผจลณ์ ตะโกนวน เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.เพชรเกษม เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276

โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 51 บรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 50 เวลา 21.00 น. จำเลยที่ 1-2 กับพวก ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ออย (ผู้เสียหาย) อายุ 16 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) และพาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลบางกอก อินเตอร์เนชั่นเนล พบสารเสพติดในร่างกาย จึงส่งพนักงานสอบสวน สน. เพชรเกษม ดำเนินคดี ก่อนนำผู้เสียหายไปควบคุมตัวในห้องผู้ต้องขังหญิง ต่อมาเมื่อเวลา 23.00 น. วันเดียวกัน จำเลยที่ 2 เบิกตัวผู้เสียหายออกจากห้องขังขึ้นไปที่ห้องสืบสวน ชั้นที่ 3 ของโรงพัก ก่อนที่จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 1 คนจะผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม และอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แต่จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

น.ส.ออยผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่า หลังจากถูกจับนำตัวเข้าไปขังในห้องผู้ต้องขังหญิง จำเลยที่ 2 เบิกตัวขึ้นไปที่ห้องฝ่ายสืบสวน ให้นั่งรอที่โซฟาแล้วเข้ามาลวนลาม ก่อนจะพาไปนอนที่เตียงเริ่มกระทำชำเรา มีจำเลยที่ 1 เป็นคนจับแขนผู้เสียหายไว้ และกระทำชำเราต่อ หลังจากนั้นยังมีอีก 2 คนที่มากระทำชำเราอีก แต่ ไม่สามารถระบุตัวได้ว่าเป็นใคร ต่อมาจำเลยที่ 1 พาไปล้างตัว พร้อมขู่ห้ามนำเรื่องไปบอกใคร วันรุ่งขึ้นจึงถูกนำตัวไปส่งฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ถูกนำไปคุมขังที่สถานแรกรับเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี นาน 9 วัน รู้สึกเจ็บอวัยวะเพศ เมื่อปรึกษากับนักพยาบาลและนักจิตวิทยา ตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง กระทั่งมารดาทราบจึงเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี (ปดส.)

โจทก์มีหลักฐานการตรวจของแพทย์พบร่องรอยฉีกขาดของอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ประกอบกับคำเบิก ความของนักพยาบาลและนักจิตวิทยาของบ้านปรานีสนับสนุนด้วย เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความตั้งแต่ก่อนและหลังถูกกระทำชำเรา การถูกข่มขืนเป็นเรื่องที่น่าอับอาย เชื่อว่าผู้เสียหายถูกกระทำชำเราจริง นักพยาบาล และ นักจิตวิทยายังเบิกความสอดคล้องกันว่า ผู้เสียหายมาขอคำปรึกษา เนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีค่า พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้เบิกความปรักปรำให้จำเลยต้องได้รับโทษ เชื่อว่า เบิกความไปตามจริง อีกทั้งขณะเกิดเหตุภายในห้องมีแสงสว่างเพียงพอ ผู้เสียหายย่อมจดจำใบหน้าของจำเลยได้ชัดเจน ไม่มีเหตุผลเพียงพอจะสร้างเรื่องขึ้นมา มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่ เห็นว่าผู้เสียหายไม่สามารถจดจำได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำชำเราด้วยหรือไม่ เพียงแต่

หลังจากถูกกระทำชำเรา ผู้เสียหายเดินออกมาจากเตียง เห็นจำเลยที่ 1-3 และตำรวจอีก 1 คน นั่งอยู่ในห้อง ทำ ให้เข้าใจว่า ถูกคนที่อยู่ในห้องทั้งหมดข่มขืน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำชำเราด้วย ส่วนที่จำเลยที่ 1-2 ต่อสู้ว่ามีเหตุโกรธเคืองกับมารดาของผู้เสียหาย และในการเบิกตัวผู้เสียหายออกจากห้องขังในเวลากลางคืนนั้น มีระเบียบที่ต้องให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ แม้มีระเบียบอยู่จริง แต่อาจสามารถเบิกตัวออกมาได้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่ สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิง ซึ่งมิใช่ ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย ลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี ปรับ 40,000 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ต่อมา จำเลยทั้ง 2 ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินมูลค่า 11.7 ล้านบาทยื่นขอประกันตัวไป

ไม่มีความคิดเห็น: