วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รัวโหด4นัด ดับนศ.ช่าง คาร้านอาหาร

เมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 17 ก.ย. ร.ต.ท. อนุรักษ์ ดีคล้าย ร้อยเวร สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร รับแจ้งเหตุยิงกันตายที่เพิงขายอาหารตามสั่ง ริมคลองภาษีเจริญ ติดกับรั้วกำแพงของโรงเรียนศรีบุญเรืองนุสรณ์ ต.ตลาด จึงรายงานให้ พ.ต.อ.ไชยา สุนทรกิจ ผกก. พ.ต.ท.ขวัญชัย ธีระกุล รอง ผกก.สส. พ.ต.ต.เสรี จันทร์ด้วง สวป. พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ นุมานิช สว.สส. นำกำลังตำรวจชุดสืบสวนเดินทางไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุหน้าร้านพบเลือดกองใหญ่ ขณะที่โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนนระนาด ขวดเบียร์ ชามกับแกล้มตกแตกกระจายเกลื่อน ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่ง รพ.กระทุ่มแบน ก่อนแล้วและเสียชีวิตภายหลัง ทราบชื่อนายธนสาร ดีรัมย์ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ 2 ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร นักศึกษาชั้นปีที่ 2 แผนกช่างยนต์ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน กทม. มีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบขนาดเข้าบริเวณใบหน้าทะลุท้ายทอย 3 นัด และหน้าอกซ้ายทะลุชายโครงขวาอีก 1 นัด รวม 4 นัด

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่ผู้ตายพร้อมเพื่อนรวม 3 คน นั่งดื่มเบียร์กันที่โต๊ะหน้าร้านอาหารตามสั่ง โดยมีลูกค้านั่งดื่มกินกันอยู่ 2-3 โต๊ะ ได้มีคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ 2 คน นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ไม่ทราบยี่ห้อและทะเบียน โดยทั้งคู่สวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้าขี่มาจอดที่หน้าร้าน จากนั้นคนนั่งซ้อนท้าย ชักปืนพกยิงถล่มใส่ร่างนายธนสารไม่ยั้งมือ กระสุนเข้าเป้า 4 นัดซ้อน ร่างกระเด็นตกม้านั่งนอนจมกองเลือดเพื่อนช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล แต่เนื่องจากกระสุนเจาะเข้าจุดสำคัญ แพทย์สุดความสามารถยื้อชีวิต

ขณะที่แนวทางการสืบสวนทราบว่า สมัยเรียนชั้นมัธยมโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.กระทุ่มแบน ผู้ตายเคยมีปัญหาขัดแย้งกับนักเรียนต่างสถาบัน ถึงขั้นเคยยกพวกตะลุมบอนกันมาก่อน หลังเรียนจบชั้นมัธยมแล้วผู้ตายไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แต่เดินทางไปกลับ และมักเที่ยวท่องราตรีกับเพื่อนเป็นประจำ กระทั่งถูกบุกยิงถล่มดับคาร้านอาหารต่อหน้าผู้คน ตำรวจประมวลจากพยานหลักฐานลงความเห็นว่า กลุ่มคนร้ายคงรับรู้ความเคลื่อนไหว ของผู้ตายเป็นอย่างดี ในชั้นนี้พุ่งปมคู่อริฆ่าดับแค้น

ฆ่าโหดกลางกรุง เศรษฐีชาวซิกข์


ตำรวจมุ่งปมมรณะเศรษฐีแขก เจ้าของธุรกิจค้าผ้ารายใหญ่ย่านสำเพ็ง มาจากเรื่องที่ผู้ตายยื่นคัดค้านประมูลโรงงานทอผ้าที่ปราจีนฯ ที่ถูกศาลสั่งยึดให้ขายทอดตลาด เผยขณะเหยื่อขับเก๋งวอลโว่ออกจากบ้านในซอยสุขุมวิท 59 มุ่งหน้าไปพบเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีที่ปราจีนบุรี ถูกสองมือปืนพระกาฬควบ จยย.ประกบยิง ลั่นกระสุนแค่นัดเดียวเข้าลำคอ รถเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าตายคาที่

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 17 ต.ค. พ.ต.ท.ประวิทย์ กังวล พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ รับแจ้งเหตุคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ประกบยิงใส่รถเก๋ง ทำให้รถเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า บริเวณปากซอยสุขุมวิท 61 ถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก หน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์เอกมัย แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กท. จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.อาจินต์ จารุวร รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผกก.สน.ทองหล่อ ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

พบรถเก๋งวอลโว่ สีเขียวเข้ม รุ่น 960 ทะเบียน 8ธ-5753 กรุงเทพมหานคร สภาพรถพังยับเยิน พบศพผู้เสียชีวิตนั่งอยู่บริเวณที่พักเท้าด้านคนขับ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่ลำคอ 1 นัด นอกจากนี้ยังมีบาดแผลจากเหตุรถชนทำให้กระดูกซี่โครงหัก กะโหลกแตก ทราบชื่อต่อมาคือ นายสวัสดิ์ เศรษฐี อายุ 70 ปี เป็นชาวแขกซิกข์ อยู่บ้านเลขที่ 52 ซอยสุขุมวิท 59 ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร

พ.ต.อ.อาจินต์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบประวัติทราบว่า ผู้ตายเป็นเจ้าของบริษัท เอสวี เทค ตั้งอยู่ย่านสำเพ็ง ทำธุรกิจค้าผ้า นอกจากนี้ผู้ตายยังมีโรงงานทอผ้าตั้งอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี แต่ขณะนี้ศาลได้ทำการยึดที่ดังกล่าว และอยู่ระหว่างการประมูลโรงงาน ส่วนผู้ตายได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านให้ยกเลิกการประมูล ซึ่งในวัน เดียวกันนี้ เวลา 09.00 น. ผู้ตายได้นัดกับกรมบังคับคดีไว้ที่ จ.ปราจีนบุรี

โดยก่อนเกิดเหตุขณะที่ผู้ตายขับรถออกจากบ้านพักในซอยสุขุมวิท 59 เพื่อเดินทางไป จ.ปราจีนบุรี จากนั้นได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า คลิก สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน คนขับสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ส่วนคนซ้อนท้ายสวมหมวกแก๊ปสีน้ำตาล ได้ชักอาวุธปืนออกมายิงใส่ 1 นัด ก่อนจะขี่รถหลบหนีโดยใช้เส้นทางถนนสุขุมวิทฝั่งขาเข้า ส่วนผู้ตายก็ได้เร่งเครื่องรถเพื่อขับหลบหนี จนเกิดอุบัติเหตุชนเสาไฟฟ้าและเสียชีวิตคารถดังกล่าว ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นหลักไปที่เรื่องผู้ตายยื่นคัดค้านยกเลิกการประมูลโรงงานทอผ้า

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้ตายได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.ระเบาะไผ่ จ.ปราจีนบุรี เนื่องจากมีคนบุกรุกเข้าไปในโรงงานของผู้ตาย ที่อยู่ระหว่างการบังคับคดีให้ขายทอดตลาด เพราะเกรงว่าทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดีจะถูกทำให้เกิดความเสียหาย จึงต้องการให้ทางธนาคารกรุงไทยประสานกับกรมบังคับคดีเข้ามาดูแล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุ นางสุวรรณ เศรษฐี อายุ 63 ปี ภรรยาผู้ตายพร้อมบุตรสาวและญาติ ได้เดินทางมาดูที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นศพพากันร้องไห้ฟูมฟาย และแสดงความแค้นเคืองกับการเสียชีวิตของนายสวัสดิ์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวญาติผู้ตายมาสอบปากคำที่ สน.ทองหล่อ แต่ยังไม่สามารถสอบปากคำได้ เนื่องจากยังอยู่ในอาการเศร้าเสียใจและโวยวายตลอดเวลา รวมทั้งด่าทอผู้สื่อข่าวที่ไปบันทึกภาพทำข่าวด้วย

ฝากขัง *จำลอง* แกนนำพันธมิตรฯ ครั้งที่ 2



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 ต.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว พนักงานสอบสวนสน.นางเลิ้ง เดินทางมายื่นคำร้องของฝากขัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ พ.2684/2551 ฐานก่อความไม่สงบในบ้านเมืองเป็นครั้งที่ 2 จนถึงวันที่ 29 ต.ค. นี้ รวมเวลา 12 วัน
เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอสอบปากคำพยานอีก 20 ปากและรอประเด็นบางส่วนที่ส่งไปตรวจสอบแต่ยังไม่ได้ผลการสอบสวน รอผลตรวจพิสูจน์แผ่นบันทึกภาพและเสียงจากกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
หลังจากได้มีการบันทึกภาพและเสียงการปราศรัยของผู้ต้องหาและคนอื่น ๆ ตลอดระยะเวลาที่มีการชุมนุมจนถึงปัจจุบัน รอผลรอผลตรวจสอบเหตุเกี่ยวเนื่องกับการกระทำของกลุ่มผู้ต้องหา และแนวร่วมที่เกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับมาแล้วบางส่วน รอผลการให้ปากคำของผู้ต้องหาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาขอให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วัน รอผลตรวจสอบประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหาคนอื่นๆ ในคดีเดียวกัน ซึ่งได้มามอบตัวเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม และจะให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วันเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ศาลพิจารณาคำร้องแล้ว อนุญาตให้ฝากขังได้ โดยนัดผู้ต้องหามารายงานตัววันที่ 24 พฤศจิกายน นี้

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ตรึงกําลังเข้ม แม่ทัพ2 จี้เขมรรับผิด




สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังคงตึงเครียด หลังกองกำลังทหารเขมรเปิดฉากยิงถล่มโจมตีฐานที่มั่นทหารไทย 2 จุด เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา จุดแรกบริเวณฐาน ตชด.เก่า เขตรอยต่อบนภูมะเขือ-ห้วยตามาเลีย ห่างจากแนวชายแดนเข้ามาราว 1 กม. และอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3 กม. ส่วนจุดที่สองบริเวณทางขึ้นผามออีแดง ใกล้ตัวปราสาทพระวิหาร จนเกิดการยิงตอบโต้กันอยู่นานกว่า 40 นาที ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 7 นาย ส่วนทหารเขมรเสียชีวิต 2 นาย และบาดเจ็บ 4 นาย หลังเกิดเหตุกระทรวงการต่างประเทศของไทยเรียกอุปทูตกัมพูชามารับบันทึกช่วยจำประท้วงที่รุกล้ำอธิปไตยและเปิดฉากโจมตีไทยก่อน ขณะที่ฝ่ายทหารไทยก็เสริมกำลังเข้าพื้นที่เต็มอัตราศึก แต่ยังยืนยันจะใช้วิธีการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

มทภ.2 ไปเจรจาบิ๊กทหารเขมร

ที่กองพลทหารราบที่ 3 หน่วยบินทหารบกยุทธวิธี กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 16 ต.ค. พล.ท. วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ เดินทางมุ่งหน้าไปยังบริเวณเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมปลอบขวัญกำลังทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตย จากนั้นมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมเจรจากับแม่ทัพภาคที่ 4 ของกัมพูชา ในเวลาประมาณ 11.00 น. วันเดียวกัน

ยืนยันไม่มีทหารไทยถูกจับตัว

ก่อนออกเดินทาง พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า จะไปประชุมเจรจากับแม่ทัพภาคที่ 4 ของฝ่ายกัมพูชา ส่วนผลจะเป็นอย่างไรยังไม่ ทราบ แต่ที่แน่ๆ ฝ่ายกัมพูชาผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับไทย และทหารกัมพูชาโจมตีฐานทหารไทยก่อน ยืนยันว่าเราถูกโจมตีก่อน ที่ฝ่ายกัมพูชาออกมาบอกว่าเรายิงก่อนนั้น ไม่จริง หน่วยทหารที่ตั้งทราบดีว่าใครยิงก่อน ส่วนกรณีมีข่าวว่าทหารไทยถูกจับกุมไป 10 คน คงไม่ใช่ ทหารไทยไม่มีใครถูกจับไป แต่ในส่วนราษฎรชาวบ้านนั้นคงต้องตรวจสอบก่อน นอกจากนี้ ที่มีข่าวว่ามีทหารไทยได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก 2 นาย เพราะถูกยิงเมื่อตอน 2 ทุ่มคืนที่ผ่านมานั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่เป็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บตกค้างจากเหตุปะทะในช่วงบ่าย อาการปลอดภัยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังเกิดเหตุปะทะกันแล้วก็ไม่มีการยิงกันอีกเลย อย่างไรก็ตาม การที่ทหารกัมพูชาโจมตีเราก่อนไม่ทราบว่าต้องการอะไร แต่ทหารไทยก็พร้อมตอบโต้เพื่อทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยจะไม่ยอมให้ลุกล้ำเข้ามาเด็ดขาด

เปิดเจรจาร่วมกันที่ผามออีแดง

ต่อมาเฮลิคอปเตอร์ของคณะแม่ทัพภาคที่ 2 เดินทาง มาถึงกรมทหารพรานที่ 23 บ้านน้ำเย็น ต.เมือง อ.กันทร-ลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จากนั้นเวลา 10.30 น. พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ขึ้น รถตู้เดินทางขึ้นไปยังผามออีแดง บริเวณเขาพระวิหาร เพื่อเปิดการเจรจากับ พล.ท.เจีย มอน แม่ทัพภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา ที่ศาลาศูนย์บริการนักท่องเที่ยวบนผามอ-อีแดง ฐานบัญชาการของกองกำลังสุรนารี โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามขึ้นไปด้วย ต้องรออยู่บริเวณด่านอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ห่างลงมาประมาณ 10 กม. ขณะที่มีรายงานว่า เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา (15 ต.ค.) ทหาร ไทยได้เสริมกำลังเข้าไปในพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง แต่สถานการณ์ทั่วไปยังคงปกติ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด

บทสรุปต้องลาดตระเวนร่วมกัน

ภายหลังการประชุมนานกว่า 5 ชม. พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะ เดินทางกลับลงมาบริเวณด่านอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเมื่อเวลา 16.05 น. จากนั้นเปิดเผยถึงผลการประชุมร่วมกับ พล.ท.เจีย มอน แม่ทัพภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชาว่า ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เพราะไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องของฝ่ายกัมพูชาได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอธิปไตยและเกินกว่าบทบาทหน้าที่ของตนจะทำได้ จึงได้ทบทวนกันถึงเหตุการณ์ปะทะเมื่อ 10 วันก่อน และที่ปะทะกันล่าสุด เกิดจากต่างฝ่ายต่างลาดตระเวน เมื่อไปพบกันก็เกิดความไม่ เข้าใจกันในระดับปฏิบัติ จึงเกิดการปะทะกันขึ้น ในส่วนผู้บังคับบัญชายังคงเข้าใจกันดี จึงได้กำหนดมาตรการว่าดินแดนที่เป็นปัญหานั้นต้องร่วมกันลาดตระเวนด้วยกัน ผู้บังคับบัญชาทั้ง 2 ฝ่ายต้องควบคุมดูแลกองกำลังของตนมิให้เกิดการเข้าใจผิดและกระทบกระทั่งกันอีก

ยังคงกำลังพลไว้เหมือนเดิม

แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีที่ปะทะกันทั้ง 2 จุดเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ว่า เมื่อมีเสียงปืนดังจะก้องไปทั้งป่า การเตรียมการต่อสู้อยู่แล้วควบคุมยาก ทุกฝ่ายจึงต้องระมัดระวัง ส่วนการคงกำลังพลยังเหมือนเดิม การวางอาวุธหนักก็มีเช่นกัน ถ้ามีการปะทะก็ให้ตอบโต้ได้ตามความเหมาะสม ส่วนพื้นที่บริเวณปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธมนั้น ได้ตกลงว่าจะลาดตระเวนด้วยกันมาตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ส่วนกรณีทุ่นระเบิดที่มีจำนวนมากทำให้ทหารไปเหยียบนั้น หน่วยกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมที่ 3 กำลังดำเนินการเก็บกู้อยู่ สำหรับข้อหารือและข้อเสนอวันนี้จะนำเข้าอาร์บีซี (การตกลงระดับภูมิภาค) ตามกำหนดการเดิมจะพูดคุยกันในวันที่ 21 ต.ค.นี้ ที่ จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน อย่างไรก็ตาม ได้ย้ำให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลง ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด หลังการเจรจากันได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน และเดินไปดูบริเวณจุดปะทะ เลยไปถึงวัดแก้วคีรีสวาระที่มีข่าวลือว่าทหารไทย 10 นายถูกกักตัวไว้ แต่ยืนยันว่าไม่มีการกักตัวทหารไทยแต่อย่างใด

วางแผนอพยพชาวบ้าน 3 ตำบล

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้าวันเดียวกัน นายเกริกชัย ผ่องแผ้ว ปลัดอาวุโส รักษาราชการแทนนายอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้เดินทางมาประชุมร่วมกับกำนันและผู้ใหญ่บ้านในเขต 3 ตำบลที่มีแนวชายแดนติดกับเขาพระวิหาร ประกอบด้วย ต.ภูผาหมอก ต.รุง และ ต.เสาธงชัย รวม 19 หมู่บ้าน เพื่อเตรียมการอพยพราษฎรหากมีเหตุการณ์สู้รบกันรุนแรง โดยชาวบ้านตำบลเสาธงชัย อพยพไปหลบภัยที่โรงเรียนบ้านตาแท่น ชาวบ้านตำบลรุงไปที่โรงเรียนเกษตรประชาตาทวด และชาวบ้านตำบลภูผาหมอก ไปที่โรงเรียนบ้านจันทร์หอมตาเสก มอบหมายให้กำนันผู้ใหญ่บ้านเตรียมพาหนะของหมู่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบลเตรียมน้ำดื่ม สถานีอนามัยเตรียมเวชภัณฑ์ ปศุสัตว์ดูแลเรื่องสัตว์ เลี้ยง ส่วนโรงพยาบาลกันทรลักษ์ ได้กันที่จอดรถหน้าโรงพยาบาลพร้อมเสริมเตียงผู้ป่วยไว้แล้ว

“ครู-นักเรียน” ขวัญกำลังใจดี

สำหรับบรรยากาศทั่วไปยังคงปกติ โรงเรียนประถมศึกษาใน 3 ตำบลตามแนวชายแดนปิดภาคเรียน มีเฉพาะโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ที่เปิดเรียนเป็นวันแรก ทั้งนี้ นายศิริศักดิ์ บุญตา ผู้อำนวยการโรงเรียนเปิดเผยว่า โรงเรียนห่างจากจุดปะทะประมาณ 13 กม. ครูและนักเรียนมีขวัญกำลังใจดี ไม่หวั่นเกรงอะไร เพราะได้ซ้อมหลบภัยเมื่อมีเหตุฉุกเฉินอยู่เป็นระยะ ถ้าเกิดเหตุรุนแรงขึ้นคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ชาวบ้านบางคนก็เตรียมเก็บข้าวของไว้ เพื่อเตรียมการอพยพให้ทันท่วงที

พระราชทานดอกไม้ 7 ทหารกล้า

ที่ จ.อุบลราชธานี เมื่อเวลา 09.30 น. พล.อ.เสริมศักดิ์ วิเศษชัยศรี รองประธานมูลนิธิคุณพุ่ม ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นตัวแทนนำกระเช้าดอกไม้พร้อมเงินประทานจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และผู้แทนพระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ นำกระเช้าดอกไม้ประทานให้ อส.ทพ.บุญฤทธิ์ ขันตี ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับทหารเขมร ถูกส่งไปรักษาตัวอยู่ที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อ.เมืองอุบลราชธานี รวมทั้ง ร.ท.ธนพล พงษ์เสือ ผบ.ร้อย ทพ.ที่ 2309 พร้อมทหารพรานอีก 5 นาย ที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ ต่อมาในช่วงบ่ายนายชวน ศิรินันท์พร ผวจ.อุบลราชธานี อัญเชิญดอกไม้พระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯไปมอบให้กับทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 7 นายด้วย สำหรับอาการของทหารพรานทั้ง 7 นายพ้นขีดอันตรายแล้ว นอกจากนี้ นายวิโรต มีแก้ว รอง ผวจ.อุบลราชธานี และนางสุมาลี ศิรินันท์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดอุบลราชธานี ได้นำดอกไม้และสิ่งของเครื่องใช้จำนวนหนึ่ง ไปมอบให้กับทหารและทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 7 นายที่โรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งด้วยเช่นกัน

ไทยเสริมกำลังตรึง 2 ปราสาท

ส่วนที่ จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้การเตรียมสถานที่เจรจาระดับภูมิภาค ที่กำหนดขึ้นที่โรลยัลฮิลรีสอร์ต ชุมชนโอเสม็ด อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย อยู่ติดด่านช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ถูกยกเลิก ล่าสุดทหารไทยได้เสริมกำลังเพิ่มบริเวณพื้นที่พิพาทปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง และปราสาทตาควาย บ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ อย่างต่อเนื่อง โดยใช้กำลังจากกรมทหารพรานที่ 26 กองทัพภาคที่ 2 จากฐานจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมอาวุธเครื่องยิงลูกระเบิดและปืนกลเอ็ม 60 นอกจากนี้ยังมีกำลังกองร้อยลาดตระเวนไกล กรมทหารพรานที่ 6 ชุดบินเครื่องบินปีกหมุน เตรียมความพร้อมอยู่ในที่ตั้ง สามารถเคลื่อนกำลังถึงพื้นที่พิพาทได้ภายใน 30 นาที ส่วนพื้นที่ตั้งกองกำลังสุรนารี บริเวณ กม.ที่ 2 ถนนสายสุรินทร์-ปราสาท ต.นอกเมือง อ.เมืองสุรินทร์ ซึ่งเป็นฐานบัญชาการใหญ่ของกองกำลังสุรนารี ตลอดทั้งคืนภายในปิดไฟมืดสนิท ขณะที่ประตูทางเข้ามีการเพิ่มกำลังทหารรักษาการณ์มากขึ้นกว่าปกติ

เขมรเปลี่ยนกำลังทหารชุดใหม่

ด้านการเคลื่อนกำลังของทหารกัมพูชา แหล่งข่าวกรองชายแดนเผยว่า มีการเสริมกำลังเข้ามาบริเวณฐานบ้านกรูด อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย และฐานบ้านทมอโดน อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย พร้อมเสริมรถถังเข้ามาอีก คาดว่ามีทหารกัมพูชาประจำการอยู่บริเวณดังกล่าวประมาณ 1 กองพัน นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังสับเปลี่ยนกำลังทหารลาดตระเวนภูมิภาคที่ 4 ที่ปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนร่วมกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดนปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และช่องกร่างมานานหลายสิบปี ออกจากพื้นที่ไปประจำการที่ฐานทมอโดน และเตรียมส่งกำลังทหารชุดใหม่มาประจำการแทน โดยกำลังทหารหน่วยใหม่ดังกล่าวไม่มีความคุ้นเคยกับทหารไทยในพื้นที่ เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าอาจมีความรุนแรงเกิดขึ้นหากผลการเจรจาในวันนี้ไม่เกิดผล

ร้านค้าตลาดโรงเกลือปิดเรียบ

ขณะที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังเปิดด่านพรมแดนเมื่อเวลา 07.00 น. บรรยากาศยังคงเงียบเหงา โดยเฉพาะบริเวณด่านพรมแดนฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา มีพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรที่จะเดินทางเข้ามาค้าขายในตลาดโรงเกลือมายืนอออยู่เพียง 100 คนเศษ ผิดจากวันปกติธรรมดาจะมีหลายพันคน โดยมี จนท.ทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยคอยอำนวยความสะดวก จากการสอบถามพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรที่ทยอยเดินทางเข้ามาในตลาดโรงเกลือบางส่วนบอกว่าจะเข้ามาเก็บข้าวของเพื่อปิดร้าน แต่บางส่วนบอกว่าจะมาเปิดร้านค้าขายตามปกติ ทำให้บรรยากาศในตลาดโรงเกลือเป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากมีร้านค้าชาวเขมรเปิดค้าขายเพียงแค่ 50% เท่านั้น อีกทั้งนักท่องเที่ยวก็น้อย เนื่องจากยังไม่มั่นใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน บรรดาชาวเขมรในตลาดโรงเกลือต่างพากันเปิดทีวีดูข่าวเหตุการณ์พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา อย่างใจจดใจจ่อ และเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงสามารถปิดร้านและเดินทางกลับเข้ากัมพูชาได้ทันทีภายใน 10 นาที

ฝั่งปอยเปตแทบเป็นเมืองร้าง

นายกวง อายุ 35 ปี พ่อค้าชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขายในตลาดโรงเกลือ เผยว่า ขณะนี้ในตลาดปอยเปต ฝั˜งกัมพูชา แทบกลายเป็นเมืองร้างแล้ว เนื่องจากชาวเขมรที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่บริเวณดังกล่าวหลายหมื่นคนได้อพยพครอบครัวออกเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงหากเกิดการสู้รบบริเวณชายแดน นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ชาวเขมรแตกตื่นและหวาดกลัวจะเกิดสงคราม ทำให้ต้องอพยพหนีตายเหมือนครั้งสงครามภายในของเขมร ทำให้เหลือชาวเขมรที่อยู่ในฝั่งปอยเปตไม่ถึง 40%

กรุ๊ปทัวร์ยกเลิกท่องเที่ยวเขมร

ด้าน พ.ต.ท.จีรชาติ ร่วมสายหยุด สว.ด่าน ตม.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เปิดเผยว่า การเดินทางผ่านเข้าออกด่านพรมแดนอรัญประเทศวันนี้น้อยมาก นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเที่ยวนครวัด-นครธม ใน จ.เสียมราฐ ของกัมพูชา ได้ยกเลิกกรุ๊ปทัวร์กันหมด ส่วนนักพนันยังคงมีประปรายที่เดินทางออกไปเล่นพนันในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต แต่มีไม่ถึง 10% จนท.ด่าน ตม.อรัญประเทศ ได้ประกาศเตือนคนไทยทุกคนที่จะเดินทางออกไปฝั่งกัมพูชาให้ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น หากไม่จำเป็นก็ไม่ ควรเดินทางออกไป ส่วนบรรยากาศของชาวเขมรที่เข้ามาค้าขายในตลาดโรงเกลือก็น้อยลงมาก ไม่น่าเกิน 1,000 คน จากปกติวันละกว่า 5,000 คน

ผวจ.สระแก้วยันชายแดนปกติ

นายสานิตย์ นาคสุขศรี ผวจ.สระแก้ว กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ชายแดนสระแก้วยังปกติ เพราะความสัมพันธ์ของกองทัพภาคที่ 1 ของไทย กับกองทัพภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ที่รับผิดชอบรอยต่อพื้นที่ 2 ประเทศยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นด้วยดี มีการพูดคุยหารือกันอยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทหารและฝ่ายปกครองของทั้ง 2 ประเทศ ได้เตรียมพร้อมและติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา สำหรับผลกระทบขณะนี้มีเพียงด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่ตลาดโรงเกลือ พ่อค้าแม่ค้าปิดร้านประชาชนมาเที่ยวลดลง แต่ก็ยังเปิดตลาดอยู่ เพียงรอดูสถานการณ์และขอร้องประชาชนอย่าเพิ่งข้ามไปกัมพูชา ให้ติดตามสถานการณ์ไปก่อน

บรรยากาศชื่นมื่นเป็นกันเอง

ต่อมาเวลา 15.00 น. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมคณะ เดินทางไปที่หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อประชุมหารือกับ พล.ท.บุน เซ็ง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา โดยมี พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ ผบก.ภ.จ.สระแก้ว และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว มาร่วมให้การต้อนรับ จากนั้นเดินไปที่กลางสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา เพื่อต้อนรับคณะของ พล.ท.บุน เซ็ง โดยแม่ทัพภาคที่ 1 เข้าจับมือทักทาย ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ก่อนพาเข้าห้องประชุมหารือร่วมกันที่อาคารด่าน ตม.อรัญประเทศ ฝั่งไทย โดยการประชุมเป็นไปอย่างชื่นมื่นเต็มไปด้วยมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ทุกคนต่างมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มและทักทายกันอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง

2 ฝ่ายยืนยันสัมพันธ์แนบแน่น

ภายหลังการประชุมใช้เวลา 1 ชม.เศษ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เปิดเผยว่า การเดินทางมาครั้งนี้ไม่มีปัญหาเรื่องข้อพิพาททางทหารแต่อย่างใด แต่มาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา อีกทั้งปัญหาทางด้านเขาพระวิหาร ก็ไม่ได้กระทบถึงชายแดนด้านนี้ เป็นการมายืนยันสถานภาพว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาทางด้านนี้ยังแนบแน่นและเป็นมิตรที่ดีต่อกัน มีความมั่นคงดีและไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เช่นเดียวกับ พล.ท.บุน เซ็ง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา กล่าวยืนยันว่า ไทยและกัมพูชายังเป็นมิตรที่ดีต่อกัน การพูดคุยมีผลเป็นที่น่าพอใจ ปัญหาข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหารนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับทางด้านนี้ การมาพูดคุยวันนี้เพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ดังนั้นปัญหาทางด้านอื่นจะไม่ทำให้มิตรภาพทางด้านนี้จางหายไป และจะไม่มีการปิดด่านพรมแดนแน่นอน

นายกฯให้นโยบาย ผบ.เหล่าทัพ

ที่กระทรวงกลาโหม เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 16 ต.ค. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้ากระทรวงอย่างเป็นทางการ หลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม โดยมี พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงกลาโหม จัดทหารกองเกียรติยศตั้งแถวต้อนรับอย่างสมเกียรติ โดยนายกฯได้ให้แนวทางในการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหมกับ ผบ.เหล่าทัพ เป็นเวลา 30 นาที

ชื่นชมทหารทำหน้าที่สมเกียรติ

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า วันนี้มารับหน้าที่อย่างเป็นทางการได้ฟังบรรยายสรุปถึงหน้าที่ภารกิจของกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพต่าง ๆ ทั้งหมด ทำให้รับรู้ภารกิจและแนวทางการปฏิบัติ ทั้งนี้ได้มอบนโยบายเรื่องการทำงานร่วมกัน ส่วนเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ได้มีการพูดถึงในที่ประชุม เพราะพูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพ ไปแล้ว ผบ.เหล่าทัพมีมาตรการดำเนินการชัดเจนอยู่แล้ว รู้สึกชื่นชมการปฏิบัติงานของทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ สมศักดิ์ศรีในการรักษาพรมแดนอธิปไตยของไทยไว้ได้ อย่างดี เป็นส่วนสำคัญทำให้พวกเรามีความอุ่นใจเวลาเกิดเหตุ ทั้งนี้เรายึดมั่นในหลักของการเจรจา เพราะการปะทะที่เกิดขึ้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร อาจจะมีบาดเจ็บบ้างแต่ก็เป็นภารกิจ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ต่อสายพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพราะมีคณะกรรมการเจรจาอยู่แล้ว อีก 1-2 วันนี้ตนจะลงพื้นที่เพื่อไปเยี่ยมและให้กำลังใจทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน

เน้นใช้การเจรจา-ไม่ใช้กำลัง

ส่วน พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงปัญหาความมั่นคงด้านชายแดนว่า เป็นเรื่องที่ทุกคนมีความห่วงใยไม่อยากให้เกิดขึ้น การประชุมเมื่อวัน 14 ต.ค. ที่ผ่านมาก็มีการพูดและยืนยันว่าเราจะไม่เป็นฝ่ายที่เริ่มต้นยิงก่อนอย่างเด็ดขาด ตรงนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มต้นก่อน สอดคล้องกับนโยบายเรื่องความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นมิตรไมตรีมากกว่าเป็นศัตรู ยืนยันว่าจะเน้นเรื่องการเจรจาเป็นหลัก การใช้กำลังหากไม่จำเป็นเราจะไม่ใช้เด็ดขาด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ล่าสุดยังคงเป็นปกติ ยังไม่มีคำสั่งฉุกเฉินให้ดำเนินการใดๆ ขณะที่นายกฯก็ไม่ได้สั่งกำชับมาตรการใดเป็น พิเศษ และวางใจกับการเตรียมความพร้อมของกองทัพ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นทางการเมืองนั้น ยังไม่มีรายงานในเรื่องนี้ คงเป็นเพียงการวิพากษ์ วิจารณ์ของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น

เผยปมเหตุเขมรมีปัญหาภายใน

ต่อข้อถามว่า เหตุใดกัมพูชาถึงมารุกไทยในช่วงนี้ ทั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายดูแลพื้นที่ร่วมกันตลอด พล.อ.อภิชาต ตอบว่า คงเป็นเรื่องการเมืองของฝ่ายกัมพูชา เท่าที่ทราบเขามีปัญหาภายในอยู่ เมื่อถามว่า เป็นเรื่องผลประโยชน์ใน พื้นที่หรือไม่ ปลัดกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า ไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่ ส่วนเรื่องการข่าวที่รายงานเข้ามาไม่มี ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีเสียงจากทางกัมพูชาก่อนจะมีมาตรการ ตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นหรือไม่ พล.อ.อภิชาตตอบว่า กองทัพมีแผนปฏิบัติตามขั้นตอนอยู่แล้ว เมื่อมีการยิงเข้ามาเรามีแผนที่จะตอบโต้ โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้สั่งการกองทัพภาคที่ 2 ไว้หมดแล้ว ทั้งนี้หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มกำลังจะดูเท่าที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดเป็นแผนป้องกันประเทศและชายแดน ไม่มีปัญหาเรื่องการปฏิบัติ ยืนยันกองทัพไทยไม่เป็นรองเรื่องการรบในประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด

นายกฯ ไปเขาพระวิหาร 18 ต.ค.นี้

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการเตรียมเดินทางตรวจเยี่ยมทหารไทยชายแดนเขาพระวิหารว่า จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ประมาณช่วงเที่ยง ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวทหารไทย 10 นาย ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัว นายสมชายตอบว่า ทราบแต่ว่ามีบาดเจ็บ ส่วนเรื่องถูกจับยังไม่มีรายงาน เมื่อถามว่า จะคุยกับสมเด็จฮุนเซ็น นายกฯ กัมพูชาเมื่อไหร่ นายสมชายตอบว่า จะหาจังหวะที่เหมาะสม เมื่อถามว่า ฝ่ายไทยจะแก้เกมจิตวิทยาที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากเล่นตลอดได้หรือไม่ นายสมชาย สะอึกเล็กน้อยก่อนตอบแบบไม่จบประโยค ว่า “ก็ มัน...” จากนั้นรีบเดินขึ้นรถออกไปทันที

ยืนยันต้องถกกับ “ฮุนเซน” แน่

เมื่อถามถึงกรณีที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ในพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหาร โดยล่าสุดยังให้ทหารทั้ง 2 ฝ่ายลาดตระเวนร่วมกันต่อไป นายสมชายตอบว่า จริงๆ แล้วทหารที่อยู่ในพื้นที่รู้จักกันเหมือนกับเพื่อนบ้านกันอยู่แล้ว วันนี้ก็ได้คุยกันแล้ว ตนอยากให้ระดับข้างล่างคุยกันเข้าใจกัน จะได้สื่อสารมาถึงผู้บริหารระดับสูงโดยอาศัยข้อมูลที่ตรงกัน ผู้สื่อข่าวถามว่า จะหาโอกาสคุยกันสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า กำลังหาโอกาสอยู่เพราะเราต้องคุยกันทุกระดับ และตนจะต้องไปเยือนประเทศอาเซียนอยู่ดี รอให้ผ่านพ้นเวลาที่มีความวุ่นวายยุ่งยากไปก่อน เมื่อถามว่า การจะไปเจรจากับกัมพูชาต้องขอความเห็นจากรัฐสภาหรือไม่ นายสมชายตอบว่า ต้องผ่านรัฐสภาให้ เร็วที่สุด สำหรับตนที่จะคุยกับสมเด็จฮุนเซ็นนั้นไม่ได้เป็นสนธิสัญญา อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรภาพยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ในพื้นที่ไม่ลงรอยกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ไทยคิดพ้องยูเอ็น-เจรจาทวิภาคี

ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงแถลงการณ์ของเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่า การใช้ความอดทนอดกลั้น และยืนยันให้มีการกลับสู่โต๊ะเจรจาในระดับทวิภาคี เป็นแนวทางเดียวกับที่ไทยเรียกร้องและยึดถือตั้งแต่ครั้งแรกที่กัมพูชานำประเด็นปราสาทพระวิหารเข้าสู่เวทีพหุภาคีทั้งในอาเซียนและคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แถลงการณ์ล่าสุดของเลขาธิการยูเอ็นถือเป็นแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ที่เรียกร้องให้ทั้งสองประเทศใช้เวทีทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหา และหากดูจากประวัติศาสตร์ทุกครั้งที่มีสงครามที่สุดก็ต้องกลับสู่โต๊ะเจรจาทั้งสิ้น และในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจ กำลังรออยู่ที่ปากประตู ทำไมเราต้องไปเสียเงินและเลือดเนื้อ ไทยเห็นว่าไร้สาระที่จะต้องมาใช้กำลังกัน ไทยย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องใช้ความอดทนอดกลั้น และที่สุดก็ต้องกลับไปสู่โต๊ะเจรจา จึงขอเรียกร้องอีกครั้งว่ากรุณาอย่ายั่วยุ

“บัวแก้ว” ชี้แจงทูตต่างประเทศ

ต่อมาเวลา 14.30 น. กระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญคณะทูตานุทูตต่างประเทศและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศรวม 64 แห่ง ประกอบด้วย เอกอัครราชทูตจาก 25 ประเทศ อุปทูต 10 ประเทศ และองค์กรต่างๆ อีก 29 แห่ง เพื่อมารับฟังสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด โดยมีนายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย นายจักรินทร์ ฉายะพงศ์ รองอธิบดีกรมองค์การ ระหว่างประเทศ พล.ท.ดำรงศักดิ์ ดีมงคล ผอ.ศูนย์ปฏิบัติ การระเบิดแห่งชาติ (ทีแม็ค-TMAC) และนายอมรชัย ศิริไสย์ ผู้บริหารโครงการมูลนิธิลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน (MOM) ร่วมกันบรรยายสรุป โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชม.เศษ

งงเจอระเบิดใหม่ของรัสเซีย

จากนั้น พล.ท.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจว่าพบทุ่นระเบิดใหม่ถูกฝังอยู่ในเส้นทางที่ทหารพรานของไทยใช้เดินทางไปมาเป็นประจำ และมีชาวบ้านใช้ เส้นทางนี้ด้วย เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบพบทุ่นระเบิดใหม่ 2 ลูก และเตรียมเข้าไปพิสูจน์ทราบ แต่ทางหน่วยแจ้งว่าหายไปแล้ว แต่ได้พบเพิ่มอีก 1 ลูกด้วยเกรงว่าจะหายไปอีก จึงเร่งเข้าไปตรวจสอบเมื่อวันที่ 14 ต.ค. สำหรับทุ่นระเบิดที่พบเป็นรุ่นพีเอ็มเอ็น 2 ผลิตในประเทศรัสเซีย ไม่มีใช้ในกองทัพไทย แม้เราเคยมีทุ่นระเบิดอยู่ในคลัง แต่ได้ทำลายตามอนุสัญญาออตตาวาแล้ว จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพื้นดินข้างเคียงพบว่าเป็นการฝังใหม่ อีกทั้งผลจากการระเบิดทำให้เห็นว่ามีอานุภาพค่อนข้างรุนแรง ถ้าเป็นทุ่นระเบิดเก่าจะมีอานุภาพทำลายลดลงเหลือเพียงร้อยละ 60-70

เร่งส่งหลักฐานจี้เขมรแจงยูเอ็น

ด้านนายจักรินทร์กล่าวว่า ไทยรู้สึกกังวลกับการกระทำที่ละเมิดข้อแรกของสนธิสัญญาออตตาวาที่ไทยและกัมพูชาต่างเป็นภาคีด้วย เราได้แจ้งต่อคณะทูตว่าไทยกำลังพิจารณารวบรวมข้อมูลหลักฐานที่เพียงพอเพื่อดำเนินการภายใต้กรอบของสนธิสัญญาดังกล่าวในการนำเรื่องนี้เสนอไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อให้ภาคีที่กระทำผิดส่งคำอธิบายภายใน 28 วัน แต่ถ้าไทยยังไม่ได้ รับคำตอบที่น่าพอใจก็สามารถนำเรื่องนี้ไปร้องต่อที่ประชุมรัฐภาคีสนธิสัญญานี้เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ ทั้งนี้ ในสนธิสัญญานี้ระบุไว้ว่า ประเทศที่เป็นภาคีต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่ไม่ขัดต่อสนธิสัญญา แต่ไม่ได้กำหนดบทลงโทษ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าหลักฐานที่กำลังรวบรวมนั้นครบถ้วนหรือยัง

เปิดตัวทหารไทยยันไม่ได้ถูกจับ

นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ได้สัมภาษณ์ พิเศษ ร.อ.อภิชาติ ภูพวก หนึ่งในสองทหารชั้นสัญญาบัตรที่ปรากฏอยู่ในภาพที่เผยแพร่ออกไป หลังนายฮอร์ นัม ฮง รมต.ต่างประเทศกัมพูชา อ้างว่ามีทหารไทย 10 นายที่ถูกทางกัมพูชาจับไว้ได้ โดย ร.อ.อภิชาติกล่าวว่า เป็นหนึ่งในทีมทหารประสานงานของไทย 13 นายที่ประจำการอยู่บนวัดแก้วศิขะคีรี มาได้ 3 เดือนแล้ว ทำหน้าที่ประสานงานกับทหารกัมพูชาและทำงานเรื่องวิทยุสื่อสารทั้งหมด เมื่อเกิดเหตุยิงกันที่ภูมะเขือ มีการยิงลามเป็นแนวไปหมด และยิงขึ้นมาบนวัดซึ่งตนประจำการอยู่ จึงได้ไปเจรจาขอหัวหน้าชุดของทหารกัมพูชาว่าขอให้หยุดยิง “เราไม่ได้ถูกปลดอาวุธ เขาไม่ได้ทำอะไรเราเลย เราไปเจรจากันดีๆ เขาบอกว่าอยู่ในวัดห้ามพกอาวุธได้ไหม ผมก็ตกลง ไม่รู้ว่าข่าวที่ออกไปทำไมถึงบอกว่าผมโดนจี้จับไปแล้ว ทั้งที่ผมเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกควบคุมตัว ไม่มีนักข่าวมาคุยกับผม มีแต่มาถ่ายรูปเท่านั้น อาวุธทุกชนิดของเราอยู่กับเราทั้งหมด ภาพที่ออกไปมีผมโบกมือ มันเป็นการโบกมือเพื่อห้ามยิงไม่ใช่มอบตัว เขาให้เกียรติเราดี หาน้ำหากาแฟให้ดื่ม ยังดูข่าวจากทีวีด้วยกัน ไม่มีการทำร้ายหรือจี้ใดๆทั้งสิ้น เห็นข่าวที่ออกไปผมงงมาก” ร.อ.อภิชาติกล่าวและว่า ขณะนี้ทหารไทยที่อยู่ในวัดเหลืออยู่แค่ 11 นาย เพราะเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ทหาร 2 นายที่ป่วยกลับลงไปแล้ว หลังหยุดยิงมีทหารไทยบาดเจ็บ ฝ่ายกัมพูชาก็ยังช่วยขนคนเจ็บลงไปด้วย

ฝ่ายค้านให้กำลังใจกองทัพ

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชา ธิปัตย์ กล่าวถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ว่า พรรคขอเป็นกำลังใจและชื่นชมเจ้าหน้าที่ของกองทัพ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของพรรคที่จะตรวจสอบและยื่นหนังสือต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ขอให้มีการชะลอไว้ก่อน ขอให้รัฐบาลไปแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด ที่ผ่านมากองทัพและกระทรวงการต่างประเทศทำงานหนักและทำหน้าที่ได้ดี ขณะนี้แนวทางที่รัฐบาลควรยืนยันว่าปัญหานี้สามารถยุติได้ในการเจรจาทวิภาคี 2 ฝ่าย ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับเรื่องนี้ไปสู่อาเซียน สหประชาชาติ หรือที่ไหนก็ตาม

ประกาศชะลอตรวจสอบรัฐบาล

ต่อข้อถามว่า ล่าสุดกัมพูชาเหมือนกับว่าไม่ยอมเลิกและระบุว่าอาเซียนเข้าข้างไทย และจะรื้อฟื้นเรื่องขึ้นมาในคณะมนตรีความมั่นคง นายอภิสิทธิ์ตอบว่า เป็นความพยายามของกัมพูชา แต่เราต้องมั่นคงว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องตื่นตระหนก ต้องเห็นใจกระทรวงการต่างประเทศ พยายามหาความพอดี โดยต้องทำให้ประชาคมโลกเข้าใจ แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องการไปยกระดับของปัญหา แต่กัมพูชามีเป้าหมายชัดเจนที่ต้องการให้เรื่องนี้ใหญ่โต มีหลายเรื่องที่เขาต้องตอบคำถาม เพราะเป็นฝ่ายที่ออกคำขู่มาก่อน ตนมั่นใจว่าเราสามารถทำให้โลกเข้าใจได้ว่าเราไม่ได้ไปรุกรานกลั่นแกล้งใครทั้งสิ้น เพียงแต่รักษาอธิปไตย และตนมั่นใจว่าขณะนี้คนไทยผนึกกำลังกันในเรื่องนี้ ไม่เชื่อว่าจะมีใครจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานแก้ไขปัญหาตรงนี้ เรื่องของภายในก็ต้องตรวจสอบ แต่วันนี้ก็ขอให้ชะลอการทำงานในส่วนนี้ แต่ผิดหวังที่หัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคร่วมรัฐบาลกลับไม่มาแสดงพลังในเรื่องนี้ เพียงแต่พะวงในเรื่องของตัวเอง วันนี้ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เราให้โอกาสรัฐบาลไปดูแลให้เรียบร้อย แต่คงไม่ใช่เรื่องที่จะมาอ้างเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่กระทำความผิดได้ อย่างไรก็ตาม จะให้ ส.ส.อุบลราชธานี ไปเยี่ยมทหารด้วย

สภารับบริจาคช่วยเหลือทหาร

นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะขอประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อหารือปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า รัฐบาลยังไม่ได้แจ้งมา ต้องรอให้รัฐบาลแจ้งมาก่อน อย่างไรก็ตาม เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกำลังจัดตั้งหน่วยรับบริจาคเพื่อเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมบริจาคช่วยเหลือทหารและประชาชนที่อยู่ตามบริเวณชายแดน โดยจะเปิดรับบริจาคตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

หักเงินเดือน ส.ส.ให้คนละ 2 พัน

ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกประชุมประธานคณะกรรมาธิการทุกคณะ เพื่อพิจารณาเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นพิเศษ โดยมีมติว่าสมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส.และ ส.ว.จะร่วมบริจาค โดยหักรายได้จากเงินเดือนประจำเดือน ต.ค. คนละ 2 พันบาท เพื่อปลอบขวัญเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับบาดเจ็บ และนายชัยจะลงพื้นที่ไปให้กำลังใจและเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บด้วย ทั้งนี้วงเงินที่ได้รับบริจาครวมแล้วประมาณ 1 ล้านบาทเศษ มีคณะทำงานที่ประกอบด้วยกรรมาธิการ 7 คณะไปพิจารณาหลักเกณฑ์ว่าจะจัดสรรเงินอย่างไร แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเยียวยาเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายม็อบเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ด้วย

สายการบินให้บริการตามปกติ

ร.ท.อภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้น สำนักงานการบินไทยที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ยังเปิดให้บริการตามปกติ และทำการบินไป-กลับวันละ 2 เที่ยวบิน นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมพร้อมทำการบิน เพื่อรองรับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางกลับไทย ถ้ารัฐบาลร้องขอ หากผู้โดยสารต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามได้ที่โทรศัพท์ 0-2356-1111 ตลอด 24 ชม. ส่วนบริษัทบางกอกแอร์เวยส์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สายการบินยังเปิดให้บริการเที่ยวบินไปประเทศ กัมพูชาตามปกติทุกเที่ยวบิน

ชี้ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

ส่วนผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ นายนิยม ไวยรัชพานิช ประธานคณะกรรมการการค้าชายแดน หอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับนักธุรกิจไทยในกัมพูชา ทั้งธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร การลงทุนด้านโทรคมนาคม การบิน การเกษตร ต่างกำลังรอดูสถานการณ์อยู่ หากมีความรุนแรงก็พร้อมอพยพออกจากกัมพูชาทันที โดยวันที่ 20 ต.ค.นี้ จะมีการประชุมประธานหอการค้าจังหวัดชายแดน 5 จังหวัด คือ ตราด ศรีสะเกษ จันทบุรี สระแก้ว และสุรินทร์ เพื่อประเมินสถานการณ์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะขณะนี้มีผลผลิตทางการเกษตรในโครงการคอนแทคฟาร์มมิ่ง 1 ล้านตัน ที่ไม่สามารถนำออกจากกัมพูชามาไทยได้ รวมทั้งทรัพย์สินของนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาที่ขณะนี้มีถึง 10,000 ล้านบาท

ผบ.เหล่าทัพแจงสถานการณ์

ช่วงเย็นวันเดียวกัน พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.ทหารสูงสุด พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ.และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์สดในรายการข่าว “เรื่องเด่นเย็นนี้” ทางช่อง 3 ช่วง “จับประเด็นร้อน” โดย พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวถึง สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้แม่ทัพภาคที่ 2 หารือกับกัมพูชา ตกลงขั้นต้นที่จะเจรจาอีกครั้งในวันที่ 21 ต.ค. โดยคงกำลังและลาดตระเวนร่วมกันเช่นเดิม การดำเนินการครั้งนี้นำไปสู่การเจรจาและเป็นกลไกความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งเราดำเนินการมานานแล้ว โดยมีความร่วมมือระหว่างภูมิภาคระหว่างแม่ทัพทั้ง 2 ฝ่าย และระดับรัฐบาลคือเจบีซี ขณะนี้ดำเนินการไปสู่การเจรจาแล้ว

ยังไม่คิด “ทักษิณ” เกี่ยวข้อง

ผู้ดำเนินรายการถามว่า มีคนวิเคราะห์ว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปมีส่วนกับเหตุขัดแย้งไทยกัมพูชา โดย พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ลึกซึ้งเกิน ที่จะตอบเรื่องนี้ หากมีจริงยากที่จะทราบ เราคงไม่มีเวลาไปนั่งคิดส่วนนั้น เราเห็นจากสื่อที่ว่ากำหนดมาตรการกับไทยจึงเตรียมรักษาอธิปไตยของไทย ไม่ให้ใครมารุกล้ำดินแดน เชื่อว่าคงไม่น่าจะมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น หากทหาร 2 ฝ่าย ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี ส่วนแผนเตรียมอพยพคนไทย กองทัพมีความพร้อมทุกแผนรองรับไว้และทบทวนแผนต่อเนื่อง

ทัพฟ้าพร้อมสนับสนุนทัพบก

ด้าน พล.อ.อ.อิทธพรกล่าวว่า กองทัพอากาศจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการอพยพ หากเหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดอันตรายกับคนไทยในกัมพูชา นายกฯ เชิญ ผบ.เหล่าทัพหารือกับต่างประเทศ ประเมินแล้วเตรียมความพร้อม หากกัมพูชายอมให้ไทยนำเครื่องบินทหารเข้าไปก็จะนำ เครื่องบินทหารเข้าไปเช่นที่เคยปฏิบัติ แต่หากไม่อนุญาตก็จะใช้เครื่องบินพาณิชย์เข้าไปอพยพคนไทย กองทัพอากาศเตรียมพร้อมกำลังหากต้องสนับสนุนกองทัพบกดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เรายังยืนยันที่จะไม่ให้การปฏิบัติรุนแรง เพราะกำลังกองทัพอากาศค่อนข้างรุนแรง และจะนำมาซึ่งผลเสียต่อไป แต่เราเตรียมพร้อมทุกด้าน

สื่อเทศตีข่าว 2 ฝ่ายเปิดเจรจา

ด้านสำนักข่าวต่างประเทศยังคงติดตามสถานการณ์ ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะกันเมื่อวันพุธที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิด ล่าสุด นายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา เผยถึงการนัดเจรจากับฝ่ายไทยเริ่มเวลา 11.00 น. ที่เขาพระวิหารในฝั่งไทยนั้นยังคงเดินหน้าต่อไป พร้อมแนะนำว่าเหตุการณ์ที่บานปลายจนเกิดความรุนแรงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กระนั้นการนัดเจรจาก็ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าเราสามารถเริ่มแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ ทั้งนี้ นายฮอร์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่กรุงพนมเปญหลังเข้าพบฉุกเฉินกับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา ส่วนเรื่องทหารไทย 10 นาย ที่ถูกกองกำลังกัมพูชาคุมตัวไว้นั้น นายฮอร์กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาดูแลเป็นอย่างดีและพร้อมจะส่งคืนหากรัฐบาลไทยร้องขอ ขณะที่ทางการไทยออกโรงปฏิเสธว่า ไม่ใช่ทหารของไทย

เผยทหารเขมรตายเพิ่มศพที่ 3

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เริ่มสงบลงแล้ว โดยทหารมีสีหน้ายิ้มแย้มและหยอกล้อหัวเราะใส่กัน ต่างกับชาวบ้านที่ยังรู้สึกหวาดผวาและยังคงอพยพออกจากพื้นที่อันตราย สำหรับความคืบหน้าการเสียชีวิตของทหารกัมพูชา ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 ต.ค. ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 รายจากการสูดควันพิษเขม่าดินปืนของฐานปล่อยจรวดของฝั่งเขมรเอง รวมเป็น 3 ศพ กระนั้นก็ยังไม่มีรายงานคำยืนยันจากฝั่งกัมพูชาแต่อย่างใด ในส่วนของคนไทยที่อาศัยอยู่ในกัมพูชาราว 1,500 คน ปรากฏว่ามีคนไทย 432 คนเดินทางกลับประเทศ หลังรัฐบาลไทยประกาศไปก่อนหน้าให้คนไทยที่ไม่มีธุรกิจเร่งด่วนในกัมพูชาอพยพออกมาก่อน โดยรัฐบาลได้จัดส่งเครื่องบินของสายการบินไทยรอรับไว้แล้ว

“เตีย บันห์” ระบุทุกฝ่ายเข้าใจกัน

ด้านพลเอกเตีย บันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา เรียกผลการหารือที่ จ.ศรีสะเกษ ว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี ทุกฝ่ายเข้าใจกัน แต่ละฝ่ายจะลาดตระเวนกันเองไม่ได้แล้ว เพราะสุ่มเสี่ยงเกิดการเข้าใจผิด ขณะที่ พ.ต.เมียส เยือน นายทหารกัมพูชา ยืนยันทหารกัมพูชาคนหนึ่งที่ป่วยเพราะสูดดมควันเขม่าจากเครื่องยิงจรวด เสียชีวิตแล้วเมื่อเช้าวันเดียวกันนี้

ข้อมูลจาก

อย. สั่งทำลายนมตรามะลิ ปนเปื้อนเมลามีน


อย. สั่งทำลายนมปนเปื้อนเมลามีน
มูลนิธิฯชี้ช่องฟ้อง

อย. สั่งบริษัท อุตสาหกรรมนมไทย ทำลาย “นมข้นจืดตรามะลิ” ปนเปื้อนเมลามีนทั้งหมด พร้อมอายัด “ครีมพร่องมันเนย” อีกกว่า 2 แสนกระป๋องตรวจ หากไม่พบเมลามีนไฟเขียวจำหน่ายต่อ ด้านบริษัทแจงวัตถุดิบผลิตนมเจ้าปัญหานำเข้านิวซีแลนด์ ส่งนมผง 16 กระสอบตรวจที่กรมวิทย์ฯ ด้าน “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” จี้ บริษัทนมปนเปื้อน “เมลามีน” วางมาตรการช่วยผู้บริโภคหากป่วยเป็นนิ่วหรือไตจากนมและผลิตภัณฑ์ปนเปื้อนเมลามีน พร้อมชี้ช่องฟ้องตาม พ.ร.บ.พิจารณาคดีผู้บริโภค

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า หลังผลการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า นมข้นแปลงไขมันไม่หวาน สูตรน้ำมันปาล์ม ตรามะลิ ชนิดกระป๋อง เลขสารบบ อย. 14-1-02323-1-0037 น้ำหนักสุทธิ 385 กรัม วันหมดอายุ 160109 ผลิตโดย บริษัทอุตสาห กรรมนมไทย จำกัด มีการปนเปื้อนเมลามีนถึง 92.82 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตนได้เดินทางไปยังโรงงานดังกล่าวและได้มีการอายัดวัตถุดิบจำนวน 448,675 กิโลกรัม โดยทางบริษัทแจ้งว่าได้มีการใช้วัตถุดิบจากนิวซีแลนด์ผลิตลอตดังกล่าว ไม่ได้ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากจีนแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้สินค้าลอตที่ปนเปื้อนทางบริษัทจะต้องเรียกคืนจากท้องตลาดเพื่อนำมาทำลายทั้งหมด ส่วนในลอตอื่น ๆ ได้มีการเก็บตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์แล้ว หากปลอดภัยก็จะให้จำหน่ายได้ แต่หากมีการปนเปื้อนจะต้องมีการทำลายทิ้งทั้งหมด

นพ.นรังสันต์ กล่าวต่อว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีการอายัด ได้แก่ นมข้นแปลงไขมันไม่หวานที่มีปัญหา จำนวน 154,164 กระป๋อง ครีมพร่องไขมัน 255,968 กระป๋อง นอกจากนมข้นแปลงไขมันไม่หวานที่ตรวจพบเมลามีนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาก่อนที่จะมีประกาศ สธ. ดังนั้นฝ่ายกฎหมายคงจะหารือว่าจะสามารถดำเนินการเอาผิด กับทางบริษัทได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม อย.ได้เฝ้าระวังผลิตภัณฑ์นมทุกชนิดในท้องตลาดตั้งแต่มีปัญหา โดยในส่วนนมผงสำหรับเด็กยืนยันว่า มีความปลอดภัย ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จะทยอยแจ้งผลให้ทราบต่อไป โดยจะแจ้งกรณีที่เกิดการปนเปื้อนเท่านั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงสายวันเดียวกัน ทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ ได้ให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทนำวัตถุดิบนมผง 16 กระสอบ ส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบโดย ถุงบรรจุนมผงระบุว่าผลิตจากออสเตรเลีย นิวซี แลนด์ และอินเดีย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ อย. ได้เก็บตัวอย่างคุกกี้ส่งตรวจเช่นกัน

ด้าน ดร.จิราภรณ์ ลิ้มปนานนท์ ประธาน ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าจะต้องทำลายวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนมที่มีการปนเปื้อนเมลามีนเกินค่ามาตรฐานทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และต้องสืบค้นว่า วัตถุดิบนมดังกล่าวมาจากแหล่งใดบ้าง เชื่อว่า อย.กำลังดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว แต่ทางบริษัทเองต้องรับผิดชอบโดยเปิดเผยข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดให้กับ อย. ด้วย พร้อมกันนี้ต้องประกาศชัดเจนว่าจะรับผิดชอบผู้บริโภคอย่างไร หากกินผลิตภัณฑ์เหล่านี้และส่งผลต่อสุขภาพในภายหลัง

ดร.จิราภรณ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ทุกบริษัทที่นำวัตถุดิบนมเข้ามาในประเทศควรมีการตรวจหาสารเมลามีนก่อนที่จะนำมาผลิตเพื่อจำหน่ายให้ผู้บริโภค นอกจากนี้ควรมีการขยาย กฎกระทรวงที่กำหนดค่ามาตรฐานการปนเปื้อนในอาหารไม่เกิน 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ให้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เช่นเดียวกับในต่างประเทศซึ่งจะทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยมาก ยิ่งขึ้นนอกจากนี้ต้องให้ความรู้กับประชาชนว่า สารเมลามีนไม่ได้มีเฉพาะผลิตภัณฑ์นม แต่น่าจะมีในทุกผลิตภัณฑ์ที่มีโปรตีน ไม่ว่าจะเป็นอาหารสัตว์ น้ำปลา ซีอิ๊ว

สำหรับประชาชนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ หากคิดว่าเป็นโรคไต ปัสสาวะขุ่น และสงสัยว่าอาจเกิดจากการกินผลิตภัณฑ์ปนเปื้อนสารเมลามีน สามารถมาร้องเรียนต่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ โดยทางมูลนิธิฯ จะรวบรวมข้อมูลและสืบหา สาเหตุเพื่อเป็นการช่วยสืบค้นข้อมูลอีกทางหนึ่ง เพราะอาจมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ปนเปื้อนเมลามีนได้ ไม่เฉพาะแต่ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนม และสามารถฟ้องร้องต่อศาลได้ ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งผู้ฟ้องจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องและพิสูจน์ข้อเท็จจริง.



ข้อมูลจาก

คลิปสาวป.โท รวบเสี่ยมือถ่ายร่วมรัก ใช้แบ็กเมย์


รวบเสี่ยคลิปฉาวถ่ายร่วมรัก


*สาวป.โท*อัดซีดีข่มขู่ฝ่ายหญิง



รวบเสี่ยรับเหมาถ่ายคลิปวีดีโอมือถือ กำลังเล่นรักกับเพื่อนสาวนิสิตปริญญาโท ต่อมาฝ่ายหญิงตีตัวออกห่าง เลยนำคลิปใส่ลงซีดีออกมาขู่ หากไม่กลับมาคืนดีเหมือนเดิม จะส่งซีดีไปให้พ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดดู สุดท้ายเหยื่อเข้าแจ้งความ และตามจับได้คาร้านอาหาร รับสารภาพแค่ขู่เท่านั้น ยังไม่ได้ส่งหรือให้ใครดูคลิปเสียว จากนั้นยื่นเงินสดประกันตัว

เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 16 ต.ค. พ.ต.ต.นราวุธ การามหิโต สว.กก.ปพ.ศสส.ภ.2 นำกำลังเข้าจับกุมนายยงยุทธ ไขแสงทอง อายุ 41 ปี เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ใน จ.ชลบุรี อยู่บ้านเลขที่ 74/4 หมู่ 1 ต.หนองตำลึง อ.พานทอง จ.ชลบุรี ได้ภายในห้องอาหารแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลเมืองแสนสุข โดยจับตามหมายศาลจังหวัดชลบุรีที่ จ.427/2551 ลงวันที่ 15 ต.ค.51 ข้อหาข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ หรือไม่กระทำการใด หรือยอมจำนนต่อสิ่งใด ทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจเอง หรือของผู้อื่น หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาด้วยภาพยนตร์ ภาพ หรืออักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด และเผยแพร่รูปถ่ายภาพยนตร์ แถบบันทึกภาพ หรือสิ่งใดอันลามก หลังจากมีผู้เสียหาย เข้าแจ้งความที่ สภ.เสม็ด อ.เมืองชลบุรี

จากการสอบสวนนายยงยุทธให้การว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ช่วงที่ตนกำลังศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในชลบุรี ได้รู้จักและมีความสัมพันธ์กับเพื่อนนักศึกษาด้วยกันชื่อ น.ส.จอย นามสมมุติ อายุ 26 ปี จากนั้นตนได้ส่งเสียให้เรียนปริญญาโท จนจบสูญเงินไปเป็นจำนวนมาก โดยช่วงที่ตนมีเพศสัมพันธ์กับ น.ส.จอย ตนจะถ่ายคลิปวีดีโอโทรศัพท์มือถือไว้ด้วยทุกครั้ง เพื่อเอาไว้ดูเล่น ต่อมาตนจับได้ว่า น.ส.จอยปันใจให้ชายอื่น จึงไปขอร้องให้เลิก แต่ฝ่ายสาวไม่เชื่อฟัง ตนเลยเอาคลิปวีดีโอไปใส่ลงแผ่นซีดี แล้วนำไปขู่ น.ส.จอยให้กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม หากไม่เช่นนั้นตนจะส่งซีดีไปให้พ่อแม่ของฝ่ายหญิงที่อยู่ต่างจังหวัดดู กระทั่ง น.ส.จอยไปแจ้งความและถูกจับดังกล่าว โดยตนยืนยันว่าไม่ได้นำคลิปวีดีโอไปเผยแพร่ให้ใครดู โดยต้องการแค่ขู่ผู้หญิงเท่านั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่เปิดคลิปวีดีโอ ในมือถือของนายยงยุทธ พบภาพผู้ต้องหากำลังสยิวกับผู้เสียหาย ต่อมานายยงยุทธได้ใช้เงินสด 60,000 บาท ขอประกันตัวออกไปต่อสู้คดี.



ข้อมูลจาก