วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

*ลอยกระทง* วัยรุ่นนิยมเสียตัว 43%


โพลชี้ *ลอยกระทง* วัยรุ่นนิยมเสียตัว 43%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 พ.ย.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีการแถลงข่าว “โครงการลอยกระทงสร้างสุข สุขใจ ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์” โดย ทพ. กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ รองผู้จัดการ สสส. เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจของเอแบคโพล เรื่อง “ความคิดเห็นต่อเทศกาลวันลอยกระทงปี 2551”ในประชาชนอายุ 12 - 45 ปี จำนวน 2,411 ตัวอย่างจาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 20 – 31 ต.ค. พบว่า กลุ่มตัวอย่างประชาชน 50.1 % มีความตั้งใจที่จะร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลลอยกระทงในปี 2551 นี้ โดยกิจกรรมที่ตั้งใจกระทำมากที่สุดคือ ลอยกระทง ชมการประกวดกระทง ชมการประกวดนางนพมาศ ชมการแสดงบนเวที และการทำบุญตักบาตร ทั้งนี้ 44.1% ระบุว่าตั้งใจมีกิจกรรมต่อหลังจากการลอยกระทง อันดับแรก คือ จะนั่งรถเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ 59 % ร้องเพลง ฟังเพลง 28 % อยู่กับคนรักสองต่อสอง 14.1 % ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 11.5 % มีเพศสัมพันธ์ 5.4 % และแข่งรถกับกลุ่มเพื่อน 3 % ในกลุ่มคนที่ตั้งใจจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังการลอยกระทงระบุเหตุผลเพราะต้องการที่จะพบปะสังสรรค์ ปกติดื่มเป็นประจำ และต้องการคลายเครียด อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่าง 64.8 2 % เห็นด้วยกับการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา และวันประเพณีวัฒนธรรมไทย มีเพียง 18.8 % เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย

ทพ. กฤษดา กล่าวต่อว่า สำหรับความเชื่อเรื่อง “วัยรุ่นกับการมีเพศสัมพันธ์” ในวันลอยกระทง กลุ่มตัวอย่าง 44.3 % เชื่อว่าวันลอยกระทงเป็นวันที่วัยรุ่นนิยมมีเพศสัมพันธ์กัน ในขณะที่ 13.3 % ไม่เชื่อ และ 42.4 % ไม่แน่ใจและไม่มีความเห็น ส่วนปัญหาที่กลุ่มตัวอย่างมีความกังวลในการลอยกระทงปี 2551 อันดับแรก คือ อุบัติเหตุบนท้องถนน 2.ปัญหาการจราจรติดขัด 3. อุบัติเหตุจากการละเล่น 4. อุบัติเหตุคนพลัดตกน้ำจมน้ำ และ5.การจี้ปล้นฉกชิงวิ่งราว เมื่อถามถึงพฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างมีความเป็นห่วงมากที่สุด คือ เยาวชนจับกลุ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มั่วสุมมอมเมา 2. การทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน 3.การเล่นประทัด ดอกไม้ไฟที่เสี่ยงอันตราย 4.การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ และ 5.แก๊งค์จักรยานซิ่งก่อกวน

“จากผลการสำรวจดังกล่าวนับเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อยสำหรับสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลสำคัญๆ ของไทยที่ทุกคนจะต้องร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามทั้งสร้างความประทับใจทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ ดังนั้นจึงถือเป็นนโยบายหลักของ สสส. และสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ในการร่วมกันรณรงค์ให้คนไทย ลด ละ เลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในทุกๆ งานประเพณีวัฒนธรรมและ เทศกาลต่างๆ ” ทพ. กฤษดา กล่าว

ด้าน นายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า พื้นที่หลักที่เข้าร่วม “โครงการลอยกระทงสร้างสุข สุขใจ ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์” ในปีนี้ ได้แก่ งานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ณ อุทยานประวัติศาสตร์ จ.สุโขทัย งานประเพณีเดือนยี่เป็ง จ.เชียงใหม่ วิถีแห่งสายน้ำวัฒนธรรมบางลำพู ณ สวนสาธารณะสันติชัยปราการ กรุงเทพฯ ลอยกระทงปลอดเหล้า ปี 2551 ณ เขตบางกอกใหญ่ งานลอยกระทงริมทะเล หัวหิน “สืบสาน 100 ปี” จ.ประจวบคีรีขันธ์ และในสถาบันการศึกษาต่างๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยนเรศวร

"พ.ต.ท."ลวงสาวเข้าโรงแรม แฟนเหยื่อเข้าช่วยทัน


พันตำรวจโทลวงสาววัย 25 เข้าโรงแรมหวังขยี้กาม แต่เหยื่อขัดขืน แอบโทรศัพท์บอกแฟนให้มาช่วยเหลือ จึงรอดจากเงื้อมืออย่างหวุดหวิด


(6พ.ย.) เวลา 05.30 น. พ.ต.ต.วิทยา ยืนยง สวป.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากนายอภิรักษ์ แต่งคู่ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58 ต.บ้านบึง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ว่า นางสาวจอย (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี แฟนสาวซึ่งคบหากันมานานกว่า 2 ปี ได้ถูกชายอื่นหลอกพาเข้าโรงแรม ชื่นรัก อินน์ ถนนพัทยาเหนือสาย 3 ม.6 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยแฟนสาวได้โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ หลังรับแจ้งจึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงโรงแรมดังกล่าวตำรวจได้เข้าตรวจสอบห้องพัก 205 ระหว่างที่ทำการเคาะประตู นางสาวจอย(นามสมมุติ) เปิดประตูวิ่งออกมาจากห้อง ในสภาพตื่นกลัว และร้องไห้ตลอดเวลา พร้อมเข้าโอบกอด นายอภิรักษ์ แต่งคู่ ทันทีพร้อมให้การว่า ก่อนเกิดเหตุไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง จากนั้นได้พบและรู้จักชายไทย ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นตำรวจ ยศ พ.ต.ท. สังกัดประจำอยู่จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีการพูดคุยกันถูกคอ และเมื่อร้านเลิกนายตำรวจรายนี้ได้ชักชวนไปเที่ยวต่อ ด้วยความที่ไม่คิดอะไร จึงตกลงและยอมนั่งรถมาด้วยกระทั่ง ถูกพาเข้าโรงแรมดังกล่าว

เมื่อไปถึงโรงแรม ตำรวจได้บังคับเข้าไปในห้อง จากนั้นก็พยายามข่มขืน แต่ตนไม่ยอมดิ้นขัดขืนตลอดเวลา ก่อนออกอุบายขอเข้าห้องน้ำ แล้วโทรศัพท์บอกแฟนหนุ่ม ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.บ้านบึง ให้มาช่วยเหลือ จากนั้นอีกประมาณ 1 ชม. จึงมีตำรวจมาทำการช่วยเหลือดังกล่าว

พ.ต.ต.วิทยา ยืนยง สภ.เมืองพัทยา เข้าไปทำการตรวจสอบชายไทย ภายในห้องพักดังกล่าว โดยยืนยันว่าเป็นตำรวจจริงมียศระดับ พ.ต.ท.ส่วนใหญ่เรียกว่า สารวัตรต่าย สังกัดตำรวจในเขต ภ.จว.ฉะเชิงเทรา เบื้องต้นนางสาวจอยไม่ติดใจเอาความ ตำรวจจึงไม่สามารถดำ เนินคดีได้ ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะแยกย้ายกันไป

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โอบามา นั่งปธน.สหรัฐผิวสีคนแรก!


สำนักข่าวท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า นายบารัค โอบามา วุฒิสมาชิก จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำชนะขาด คู่แข่งจากพรรครีพลับริกัน อย่าง นายจอห์น แมคเคน ด้วยผลคะแนนโหวตเลือกผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ 333 ต่อ 155

ด้าน นายแมคเคน แถลงยอมรับความพ่ายแพ้ ท่ามกลางประชาชนที่มาให้กำลังใจ หลังเกาะติดผลการเลือกตั้งพร้อมขอให้ทุกคนยอมรับและเดินไปข้างหน้า ทั้งยังกล่าวยกย่อง นางซาร่าห์ เพ ลิน ผู้ว่าการรัฐอะแลสกา คู่สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ว่าสามารถทำงานด้วยความห้าวหาญ

นายแมคเคน กล่าวต่อว่า ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายบารัค โอบามา เรียบร้อยแล้ว.

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จำคุก20ปี ตร.หื่นข่มขืนสาว16บนโรงพัก

สั่งจำคุก 2 ด.ต. 20 ปี รุมโทรมผู้ต้องหา [5 พ.ย. 51 - 04:16]

ที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 พ.ย. ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ด.ต.นุโลม แอ๊ดมา ด.ต.มงคล โททอง และ ด.ต.ผจลณ์ ตะโกนวน เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.เพชรเกษม เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276

โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 51 บรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 50 เวลา 21.00 น. จำเลยที่ 1-2 กับพวก ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ออย (ผู้เสียหาย) อายุ 16 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) และพาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลบางกอก อินเตอร์เนชั่นเนล พบสารเสพติดในร่างกาย จึงส่งพนักงานสอบสวน สน. เพชรเกษม ดำเนินคดี ก่อนนำผู้เสียหายไปควบคุมตัวในห้องผู้ต้องขังหญิง ต่อมาเมื่อเวลา 23.00 น. วันเดียวกัน จำเลยที่ 2 เบิกตัวผู้เสียหายออกจากห้องขังขึ้นไปที่ห้องสืบสวน ชั้นที่ 3 ของโรงพัก ก่อนที่จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 1 คนจะผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม และอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แต่จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

น.ส.ออยผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่า หลังจากถูกจับนำตัวเข้าไปขังในห้องผู้ต้องขังหญิง จำเลยที่ 2 เบิกตัวขึ้นไปที่ห้องฝ่ายสืบสวน ให้นั่งรอที่โซฟาแล้วเข้ามาลวนลาม ก่อนจะพาไปนอนที่เตียงเริ่มกระทำชำเรา มีจำเลยที่ 1 เป็นคนจับแขนผู้เสียหายไว้ และกระทำชำเราต่อ หลังจากนั้นยังมีอีก 2 คนที่มากระทำชำเราอีก แต่ ไม่สามารถระบุตัวได้ว่าเป็นใคร ต่อมาจำเลยที่ 1 พาไปล้างตัว พร้อมขู่ห้ามนำเรื่องไปบอกใคร วันรุ่งขึ้นจึงถูกนำตัวไปส่งฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ถูกนำไปคุมขังที่สถานแรกรับเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี นาน 9 วัน รู้สึกเจ็บอวัยวะเพศ เมื่อปรึกษากับนักพยาบาลและนักจิตวิทยา ตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง กระทั่งมารดาทราบจึงเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี (ปดส.)

โจทก์มีหลักฐานการตรวจของแพทย์พบร่องรอยฉีกขาดของอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ประกอบกับคำเบิก ความของนักพยาบาลและนักจิตวิทยาของบ้านปรานีสนับสนุนด้วย เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความตั้งแต่ก่อนและหลังถูกกระทำชำเรา การถูกข่มขืนเป็นเรื่องที่น่าอับอาย เชื่อว่าผู้เสียหายถูกกระทำชำเราจริง นักพยาบาล และ นักจิตวิทยายังเบิกความสอดคล้องกันว่า ผู้เสียหายมาขอคำปรึกษา เนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีค่า พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้เบิกความปรักปรำให้จำเลยต้องได้รับโทษ เชื่อว่า เบิกความไปตามจริง อีกทั้งขณะเกิดเหตุภายในห้องมีแสงสว่างเพียงพอ ผู้เสียหายย่อมจดจำใบหน้าของจำเลยได้ชัดเจน ไม่มีเหตุผลเพียงพอจะสร้างเรื่องขึ้นมา มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่ เห็นว่าผู้เสียหายไม่สามารถจดจำได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำชำเราด้วยหรือไม่ เพียงแต่

หลังจากถูกกระทำชำเรา ผู้เสียหายเดินออกมาจากเตียง เห็นจำเลยที่ 1-3 และตำรวจอีก 1 คน นั่งอยู่ในห้อง ทำ ให้เข้าใจว่า ถูกคนที่อยู่ในห้องทั้งหมดข่มขืน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำชำเราด้วย ส่วนที่จำเลยที่ 1-2 ต่อสู้ว่ามีเหตุโกรธเคืองกับมารดาของผู้เสียหาย และในการเบิกตัวผู้เสียหายออกจากห้องขังในเวลากลางคืนนั้น มีระเบียบที่ต้องให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ แม้มีระเบียบอยู่จริง แต่อาจสามารถเบิกตัวออกมาได้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่ สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิง ซึ่งมิใช่ ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย ลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี ปรับ 40,000 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ต่อมา จำเลยทั้ง 2 ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินมูลค่า 11.7 ล้านบาทยื่นขอประกันตัวไป

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ฆ่าสยองกรุง เสี่ยเงินกู้-เมีย


สังหารผัวเมียปล่อยเงินกู้หมกตึกแถว เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 3 พ.ย. พ.ต.ท.สง่า ปัญญา พงส. (สบ 2) สน.พระโขนง รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย ในตึกแถวเลขที่ 3 ซอยอ่อนนุช 12 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. รุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.อาจินต์ จารุวร รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ ผกก.สน.พระโขนง พ.ต.ท. รณชัย รอดลอย สว.สส. แพทย์นิติเวช รพ.จุฬาฯ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุเป็นตึกแถว 4 ชั้นครึ่ง ใช้เป็นที่พักอาศัย ประตูเหล็กม้วนทางเข้าชั้นล่างปิดล็อกคล้องด้วยแม่กุญแจใหม่เอี่ยม มีกลิ่นเน่าเหม็นของศพโชยคลุ้งออกมาอย่างรุนแรง เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้คีมตัดแม่กุญแจเข้าไปในห้องโถงชั้นล่าง พบศพ น.ส.รจนา พงษ์โสภิตา อายุ 48 ปี นอนหงายใกล้บันไดทางขึ้นชั้น 2 สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวลายดอก กางเกงยีนส์ มีบาดแผลถูกยิงราวนมซ้าย 1 นัด สภาพเน่าอืดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3-4 วัน ภายในห้องไม่พบร่องรอยการรื้อค้นหรือต่อสู้

นอกจากนี้ บริเวณชานพักบันไดชั้น 3 ขึ้นชั้น 4 ยังพบศพนายอนุศักดิ์ วรรณสกุล อายุ 38 ปี สามี น.ส.รจนา นอนตะแคงซ้าย สวมเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นสีฟ้า มีบาดแผลถูกยิงเข้ากลางหลัง 1 นัด ลักษณะคล้ายวิ่งหนีความตายขึ้นไปชั้น 4 แล้วถูกยิงตกลงมา สภาพศพขึ้นอืดเช่นกัน โดยไม่พบร่องการต่อสู้และปลอกกระสุนปืน

สอบสวนนายอนุวัฒน์ วรรณสกุล อายุ 42 ปี หัวหน้าฝ่ายจัดซื้อโรงแรมอิมพีเรียลธารา ซอยสุขุมวิท 76 ย่านพระโขนง พี่ชายนายอนุศักดิ์ผู้ตาย ให้การว่า น้องชายไม่ได้ทำงาน แต่มีอาชีพปล่อยเงินกู้กินดอกเบี้ย วงเงินตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านจำนวนหลายราย ส่วนภรรยา เป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี บริษัทราชบุรีพาวเวอร์ ในเครือสหยูเนี่ยน ซอยสุขุมวิท 56 แต่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องส่วนตัวของน้องชายมากนัก ส่วนใหญ่จะโทรศัพท์พูดคุยสารทุกข์ สุกดิบกัน ล่าสุดน้องชายขอยืมเงินจำนวนหนึ่งไปค้ำประกันธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไม่ทราบรายละเอียด โดยบอกว่าจะได้รับเงินคืนจำนวน 5 ล้านบาท ในวันที่ 31 ต.ค. แต่ไม่ได้ไปรับ ตนพยายามติดต่อ ก็ไม่สามารถติดต่อได้

พี่ชายเหยื่อฆาตกรรมโหดเผยต่อไปว่า ก่อนจะทราบเหตุร้าย ด.ต.สงัด กองแก้ว ผบ.หมู่งาน ป.สน. พระโขนง ซึ่งสนิทสนมกับผู้ตาย แวะไปเยี่ยมนายอนุศักดิ์ ที่บ้าน เห็นประตูปิดล็อกจากด้านนอกและได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากตึกแถวเกิดเอะใจโทรศัพท์ไปแจ้งให้ทราบ เมื่อมาดูพบว่าน้องชายกับ น.ส.รจนาถูกยิงเสียชีวิตแล้วหลายวัน ส่วนแม่กุญแจที่ล็อกไว้ลักษณะเพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยม คาดว่าคนร้ายเตรียมมา สำหรับทรัพย์สินที่หายไปของน้องชายคือสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 1 องค์ เงินสดยังไม่ทราบจำนวน และปืนพกขนาด .38 กับ 9 มม. อย่างละกระบอก

ด้าน พ.ต.อ.อาจินต์ จารุวร รอง ผบก.น.5 เปิดเผยว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นที่ผู้ตายปล่อยเงินกู้เป็นหลัก เท่าที่ทราบปล่อยเงินกู้นอกระบบจำนวนหลายล้านบาท มีลูกหนี้รายใหญ่ 4-5 คน กู้เงินไปคนละ 1-2 ล้านบาท มีทั้งที่ไว้ใจไม่ได้ทำสัญญากันและทำสัญญาไว้ วงเงินกู้รวมทั้งสิ้นประมาณ 10 ล้านบาท อาจเป็นการฆ่าล้างหนี้ ต้องตรวจสอบว่ามีใครบ้าง เพราะลักษณะคนร้ายต้องรู้จักกับผู้ตายและวางแผนสังหารมาอย่างดี เข้าไปพูดคุยกันภายในบ้านก่อนลงมืออย่างเลือดเย็น โดยเตรียมแม่กุญแจที่ซื้อมาใหม่คล้องปิดล็อกประตูหลังสังหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ตายระดมเงินทุนกับพรรคพวกทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อ-ขายเงินตราต่างประเทศด้วย โดยนัดหุ้นส่วนนำเงินลงขันไปหารือกันที่บ้านเป็นประจำ อาจเป็นการหักหลังกันเองก็เป็นได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล

เย็นวันเดียวกัน พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยความคืบหน้าว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งสาเหตุการตาย 2 ประเด็น เรื่องแรกเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือหักหลังกันเอง ระหว่างหุ้นส่วนที่ร่วมลงทุนซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กับอีกประเด็นลูกหนี้ที่กู้เงินนอกระบบจำนวนมากวางแผนมาฆ่าล้างหนี้ โดยเชื่อว่าคนร้ายต้องรู้จักสนิทสนมกับผู้ตายเป็นอย่างดี จึงเข้าไปพูดคุยในบ้านได้ เพราะจากการ ตรวจสอบรอบบ้าน ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ ขณะที่เพื่อนบ้าน ระบุว่าเห็น 2 ผัวเมียครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงเย็นวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา เชื่อว่าน่าจะถูกสังหารในคืนเดียวกัน เพราะมีฝนตกหนัก จึงไม่มีใครได้ยินเสียงปืน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบเบาะแสสำคัญว่าผู้ตายได้บอกกับเพื่อนๆว่าในวันที่ 31 ต.ค.นี้ จะได้เงินจำนวนหนึ่งประมาณ 4-5 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินไปปล่อยกู้ให้ลูกหนี้รายหนึ่ง เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าลูกหนี้รายนี้เป็นใคร โดยผู้ตายอาจจะนัดให้มารับเงินกู้ก้อนโต พอได้เงินก็ลงมือฆ่าผัวเมียเชิดเงินทั้งหมดหลบหนีไป

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ขับรถปาดหน้า ยิงดับคามอเตอร์เวย์

ระทึกขับรถปาดหน้ายิงดับคามอเตอร์เวย์
เหยื่อเป็นช่างพม่า!มือปืนสงสัยคนมีสี

โชเฟอร์ปิกอัพปืนโหด เจอปิกอัพอีกคันปาดหน้า ฉุนเลยไล่ยิง หนุ่มพม่าที่นั่งหน้าคู่คนขับรับเคราะห์ ดับสยองบนทางด่วนมอเตอร์เวย์ ที่จะมุ่งหน้าชลบุรี พบเบาะแสคนก่อเหตุน่าเป็นคนมีสี เผย เหยื่อเป็นช่างเครื่องแรงดันน้ำสูง อยู่ในบริษัทที่สิงคโปร์ จากนั้นบริษัทแม่ส่งผู้ตายกับเพื่อน มาทำงานที่บริษัทลูกในระยอง ทางบริษัทจึงให้คนรถขับรถไปรับมาที่ระยอง โดยผู้ตายนั่งหน้าซ้ายติดกระจก เพื่อนอีกคนนั่งกลาง ระหว่างทางเกิดขับรถไล่ปาดกัน จึงถูกกระสุนดับสลด ส่วนเพื่อนกับโชเฟอร์รอดหวุดหวิด

เมื่อเวลา 00.05 น. วันที่ 2 พ.ย. พ.ต.ท.ณัฐวัฒน์ จิตบุณย์กุลธร สวส.สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา รับแจ้งมีเหตุยิงกัน บนถนนมอเตอร์เวย์ กม.ที่ 39 ขาเข้าชลบุรี หมู่ 3 ต.พิมพา รุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.สายเพชร ศรีสังข์ ผกก. และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา ที่เกิดเหตุริมถนนพบรถปิกอัพโตโยต้า รุ่นวีโก้ แบบสองตอน สีบรอนซ์ ทะเบียน บย 8333 ระยอง ที่ข้างรถเขียนว่าบริษัทบอยเล่อร์ มาสเตอร์เอเชีย จำกัด และที่กระจกด้านซ้ายถูกกระสุนปืนแตกทั้งบาน บนเบาะนั่งข้างคนขับพบศพนายออง เทียมอร์ อายุ 31 ปี ชาวพม่า ถูกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดที่โหนกแก้มซ้าย 1 นัด

จากการสอบสวนนายประจวบ ชื่นเมือง อายุ 32 ปี คนขับรถคันดังกล่าวให้การว่า ผู้ตายทำงานเป็นช่างเครื่อง เกี่ยวกับแรงดันน้ำสูง อยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งที่ประเทศสิงคโปร์ โดยทาง บริษัทแม่ได้ส่งผู้ตาย ให้มาช่วยทำงานในบริษัทลูกที่อยู่ใน จ.ระยอง โดยผู้ตายและเพื่อนคนงานอีกคน ทราบเพียงชื่อนายซิกม่า ไม่ทราบนามสกุล อายุ 28 ปี ชาวอินเดีย เป็นช่างเหมือนกับผู้ตาย นั่งเครื่องบินจากสิงคโปร์มาลงที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย. ตนจึงขับรถไปรับผู้ตายกับนายซิกม่า เพื่อพาไปที่ จ.ระยอง โดยให้ผู้ตายนั่งข้างหน้าซ้ายมือติดกระจก ส่วนนายซิกม่านั่งตรงกลาง

นายประจวบให้การต่อว่า กระทั่งก่อนจะถึงด่านเก็บเงินลาดกระบัง มีรถปิกอัพโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ลักษณะคล้ายคนขับเมา ขับรถส่ายไปมาและแซงตนขึ้นไปข้างหน้า พอจ่ายเงินเสร็จ ตนเห็นรถคันดังกล่าวขับชะลอ ตนเลยเร่งเครื่องแซงไปข้างหน้า สักพักรถคันดังกล่าวขับไล่กวดหลังตนมา พร้อมกับยิงปืนใส่ 2 นัด ตนเลยเร่งเครื่องหลบหนี พร้อมกับโทรศัพท์แจ้งตำรวจ จนขับมาถึงที่เกิดเหตุ รถปิกอัพคู่กรณีขับแซงมาทัน ก่อนจะยิงปืนใส่อีก 1 นัด จากนั้นเร่งเครื่องหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ตนจึงจอดรถและพบว่านายออง ถูกกระสุนปืนเสียชีวิตแล้ว
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า รถทั้งสองคันคงจะขับแซงปาดหน้ากันไปมา จากนั้นรถคู่กรณี ที่คนขับเมา ชักปืนยิงใส่ก่อนจะหลบหนีไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่พอจะทราบแล้วว่า รถคู่กรณีคันที่ก่อเหตุเป็นคนมีสี อยู่ระหว่างเตรียมจะเชิญตัวมาสอบปากคำต่อไป.

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ผู้ต้องหาปาหิน ทำเด็ก 12 ขวบดับ กินยาตายแล้ว

ผู้ต้องสงสัยมือปาหินใส่รถบรรทุกกินยาตาย

ความคืบหน้ากรณีวัยรุ่นขี่รถจักรยานยนต์ย้อนศรปาหินใส่กระจกหน้ารถบรรทุกสิบล้อขนอ้อย ซึ่งมี นายสนิท สายเพชร อายุ 45 ปี เป็นคนขับ และหินถูกศีรษะ ด.ช.อนุพงษ์ สายเพชร อายุ 13 ปี ลูกชายของนายสนิท เสียชีวิต เหตุเกิดบนถนนเพชรเกษม พื้นที่ ต.ต้นมะพร้าว อ.เมือง จ.เพชรบุรี เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 9 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 11 มีนาคม พ.ต.ท.สุเมธ แก้วสวัสดิ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเพชรบุรี รับแจ้งเหตุมีคนกินยาฆ่าตัวตายภายในโรงแรมแฮปปี้อินน์ จึงรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุอยู่ในห้องเลขที่ 26

พบศพ นายพนม อินทกูร อายุ 37 ปี อาชีพรับจ้าง อยู่บ้านเลขที่ 47/1 หมู่ 2 ต.หนองปรง อ.เขาย้อย ภายในห้องพบกระป๋องยาแลนเนทและขวดเบียร์ที่มีส่วนผสมของยาแลนเนท นอกจากนี้ ยังมีจดหมายที่ผู้ตายเขียนระบายความในใจเรื่องปัญหาภายในครอบครัวระหว่างเมียหลวงกับเมียน้อย

ญาติของนายพนม ให้การว่า ก่อนที่นายพนมจะฆ่าตัวตายได้มาบ่นปรับทุกข์ให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ที่ผ่านมา มีปากเสียงกับเมียน้อย จึงขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านด้วยความโมโห พร้อมกับหยิบก้อนหินติดมือไปด้วย

เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุจึงปาหินออกไป หลังจากนั้นก็ไปดื่มเหล้าต่อและเห็นข่าว ด.ช.อนุพงษ์ ถูกคนปาหินใส่ถูกศีรษะเสียชีวิต จึงรู้ว่าได้ก่อเหตุร้ายขึ้น จากนั้นนายพนมก็ไปเปิดโรงแรมแฮบปี้อินน์ ในเวลา 20.00 น. วันที่ 10 มีนาคม

จนกระทั่งเวลา 08.00 น. วันที่ 11 มีนาคม พนักงานโรงแรมได้ไปเรียก พอเปิดประตูเข้าไปก็พบนายพนมนอนดิ้นทุรนทุรายก่อนจะเสียชีวิต จึงแจ้งให้ตำรวจทราบ คาดว่านายพนมน่าจะเครียดหนัก ทั้งปัญหารักสามเศร้าและเรื่องที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเสียชีวิต รวมทั้งกดดันที่ตำรวจตั้งค่าหัวตามล่า จึงฆ่าตัวตายหนีความผิด

น.ส.หทัยกาญจน์ อินทกูร อายุ 40 ปี พี่สาวของนายพนม กล่าวระหว่างมารับศพว่า ไม่เชื่อว่าน้องชายจะเป็นคนปาหินใส่รถบรรทุก เนื่องจากน้องชายเคยทำอาชีพขับรถบรรทุกสิบล้อ และทำไมจะต้องมาก่อเหตุกับคนอาชีพเดียวกัน ประกอบกับน้องชายยังไม่เคยรับสารภาพที่ไหนว่าเป็นคนปาหิน อย่าเอาน้องมาเป็นแพะ ส่วนสาเหตุที่น้องชายฆ่าตัวตายยังไม่ทราบ

ต่อมาเมื่อ เวลา 18.20 น. วันเดียวกัน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้นำนายสุชิน เอมโอษฐ์ อายุ 52 ปี พยานในคดีมาแถลงกับผู้สื่อข่าว นายสุชิน ระบุว่า ช่วงเวลา 03.00 น. ก่อนที่นายพนมจะฆ่าตัวตาย ได้ขี่รถจักรยานยนต์มาหาที่บ้านพัก เลขที่ 55 หมู่ 2 ต.หนองปรง อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี

ชักชวนให้ดื่มเหล้าและปรับทุกข์ว่าไปก่อเหตุปาหินใส่รถบรรทุกจนทำให้เด็กเสียชีวิต และเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น. นายพนมก็ได้แยกย้ายกลับบ้าน จนมาทราบภายหลังว่าก่อเหตุฆ่าตัวตาย

พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าวว่า ถึงแม้ในทางคดีจะมีเบาะแสว่า นายพนมก่อเหตุจากคำบอกเล่าของนายสุชิน แต่ตำรวจก็ยังคงที่จะสอบปากคำพยานเพิ่มเติม ก่อนที่จะสรุปคดีนี้ว่านายพนมเป็นมือปาหินจริงหรือไม่ ส่วนการเชื่อมโยงคดีนี้ เกิดขึ้นเพราะหลังพบศพนายพนม ได้ติดต่อไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่

จึงได้เบาะแสว่ามาพบกับนายสุชิน ก่อนจะฆ่าตัวตาย ตำรวจจึงสอบปากคำนายสุชิน และได้เบาะแสว่า นายพนมได้บอกเล่าเรื่องนี้ไว้ก่อนที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งพฤติการณ์ของนายพนมจากคำบอกเล่าของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทราบว่า เวลาเมาสุรามักจะแสดงพฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตราย เช่น นำรถจักรยานยนต์ไปจอดขวางถนนให้รถที่ขับผ่านชน

ด้านนายสนิท สายเพชร อายุ 45 ปี บิดาของ ด.ช.อนุพงษ์ กล่าวว่า จากหลักฐานที่ตำรวจนำมาแสดงทั้งรถจักรยานยนต์และเสื้อผ้าที่นายพนมส่วมใส่ ทำให้มั่นใจว่า เป็นคนร้ายที่ก่อเหตุจนทำให้บุตรชายเสียชีวิตจริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พี่สาวของนายพนม ที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธว่าน้องชายไม่ได้มีส่วนรู้เห็นต่อเหตุการณ์ปาหิน อยู่ระหว่างเดินทางกลับบ้านที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนา